ท่ามกลางตัวเลขเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยที่ออกมา “ติดลบ” แทบทุกตัว ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และยังมีโอกาสที่จะดิ่งลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้ ทำให้เริ่มมีคำถามจากประชาชนคนไทย และภาคธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า...
เศรษฐกิจที่จ่อเดินเข้าสู่ “การถดถอย” เช่นในปัจจุบัน ประเทศไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวได้หรือไม่ และเราควรดำรงชีวิตต่อไปอย่างไรเพื่อประคับประคองตัว และประคองธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกออกมาติดลบไปถึง 0.6% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน และติดลบสูงถึง 2.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ทั้งปีนั้น สศช.ประเมินว่าจะเติบโตเพียง 1.5-2.5%
ด้านเครื่องชี้สำคัญทางเศรษฐกิจแทบทุกตัวต่างอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ติดลบ 3% การลงทุนรวมลดลง 9.8% โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลง 7.3% ขณะที่การลงทุนภาครัฐลดลงมากถึง 19.3% ขณะที่การส่งออกในไตรมาสแรกของปีนี้ติดลบ 0.4% เช่นเดียวกับการนำเข้าที่ติดลบสูงมาก 8.5%
ในฝั่งภาคการผลิตในไตรมาสแรกของปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ขยายตัวติดลบ 7% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งขยายตัวลดลง 55.3% ยอดขายรถปิกอัพขยายตัวลดลง 36.6% และยอดขายมอเตอร์ไซค์ลดลง 21.4% สำหรับภาคการท่องเที่ยวในไตรมาสแรกของปีนี้ติดลบ 5.4% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน หนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูงถึง 82.4% ของจีดีพี ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นอีกปัจจัยกดดันให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ที่ระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น โดยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวเพียง 8.8% ในไตรมาสแรก ซึ่งปี 2557 นี้เป็นครั้งแรกที่สินเชื่อขยายตัวต่ำกว่า 2 หลักเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี
นอกจากนั้น ผลกระทบจากวิกฤติปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ยังทำให้อัตราการเบิกจ่ายประจำปี 2557 เบิกจ่ายได้เพียง 19.1% ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 24% และยังทำให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ซึ่งควรจะดำเนินการเสร็จสิ้น เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เดือน เม.ย.ล่าช้าออกไปอย่างน้อยที่สุด 6 เดือน
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะ “ชะงักงัน” เครื่องยนต์ขับเคลื่อนต่างๆ ติดๆดับๆ จ่อจะลากระบบเศรษฐกิจไทย “พังครืน” ลงไป ประชาชนหยุดการบริโภค ภาคธุรกิจยกเลิกการลงทุนเพื่อรอดูวิกฤติทางการเมืองที่คุกรุ่นมาโดยตลอดใน ช่วง 6 เดือนเศษนี้
ประจวบกับ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะ ตัดสินใจ “ผ่าทางตัน” วิกฤติการเมืองด้วยการตัดสินใจยึดอำนาจการบริหารประเทศ
กรุยทางสู่การ “ล้างไพ่” การเมือง “รีบูท” เครื่องยนต์เศรษฐกิจ เสียงขานรับจากภาคธุรกิจ การลงทุนจึงกระหึ่มขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง เพราะวงจรเศรษฐกิจไม่อาจจะอดทนอดกลั้นกับวิกฤติทางการเมืองที่ไร้ทางออกอีก แล้ว
“ทีมเศรษฐกิจ” ถือโอกาสนี้ นำความคิดเห็นของนักธุรกิจ และนักเศรษฐศาสตร์ และนักลงทุนชั้นนำของประเทศ ที่จะให้คำแนะนำในการ “วางแผน” ของภาคธุรกิจและ “การดำรงชีวิต” ของประชาชนคนไทยภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังรอการ “รีบูทเครื่องยนต์ใหม่” ในครึ่งปีหลัง.

สุพันธุ์ มงคลสุธี
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย (ส.อ.ท.)
“ผมมั่นใจว่า ส.อ.ท.และภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนและทำงานกับรัฐบาลชุดใหม่ โดยไม่ยึดติดว่ามาจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น เพราะหมดเวลาแล้วที่คนไทยจะทะเลาะกัน เพราะจะบาดเจ็บด้วยกันทุกฝ่าย...
ส่วนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใครต้องเป็นคนมีวุฒิภาวะ เป็นผู้นำ พร้อมจะรับฟัง และเป็นคนกลางที่สามารถเจรจากับทุกฝ่ายได้ ทั้งฝ่ายการเมือง และภาคเอกชน ที่สำคัญต้องมีความเข้าใจในเรื่องของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ อยู่ในสภาวะเหมือนคนไข้อาการโคม่า ทำให้ประเทศชาติต้องการคนที่รู้และเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจทั้งระบบ เพื่อเป็นแม่ทัพในการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนและต่างประเทศกลับคืนมา โดยเร็วที่สุด
“ภาคเอกชนมองว่าการยึดอำนาจครั้งนี้ เมื่อทำให้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงหรือปะทะกัน ก็ต้องมารอดูว่า การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่จะมีความน่าเชื่อถือให้กับคนทั้งประเทศอย่างไร พูดง่ายๆคือประกาศรายชื่อออกมาต้องไม่ถูกเรียกว่าเต้าหู้ยี้ และต้องมีความเป็นกลาง ไม่ใช่เป็นตัวแทนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะ ครม.ชุดนี้ต้องรับผิดชอบกับภาระการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา นอกเหนือจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัว”
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต้องการให้จัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดเพื่อเป็นคำตอบที่หลังจาก นี้ไปต้องรอตอบคำถามของนักลงทุนต่างชาติ หรือคู่ค้าที่สั่งซื้อ (ออเดอร์) สินค้าของไทยที่ก็เฝ้ารอดูว่าประเทศไทยจะเป็นไปอย่างไรนับจากนี้
ขณะเดียวกัน หากถามว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปีนี้จะเติบโตเท่าใด หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ได้ปรับเป้าการเติบโตของจีดีพีปี่นี้ที่ 1.5-2.5% เท่านั้น ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของ ส.อ.ท.ที่ต้องรับผิดชอบ 42 กลุ่มอุตสาหกรรม ขอฟันธงว่า จีดีพีปีนี้จะเติบโต 1% กว่าๆเท่านั้น ไม่เติบโตไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน
“นี่คือคำยืนยันภายใต้เงื่อนไขเหตุการณ์ทางการเมืองไม่รุนแรงไปมากกว่า นี้ แต่หากยังมีความรุนแรง หลังรัฐ-ประหาร จีดีพีปีนี้จะติดลบอย่างแน่นอน”
นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังมองว่า เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ การประกาศใช้กฎอัยการศึกก็ควรยกเลิกให้เร็วที่สุด และที่สำคัญผู้มีอำนาจในขณะนี้ ต้องถอนตัวออกไปในทันทีเพื่อยืนยันว่าเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศเพื่อคน ไทยอย่างจริงใจไม่มีอะไรแอบแฝง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งใหม่ไม่ว่าจะมีการปฏิรูปหรือแก้ไขกฎระเบียบในเรื่อง ใดๆ ควรเลือกตั้งภายใน 6 เดือนเพื่อปลดล็อกประเทศไทย
“อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ใช้โอกาสในครั้งนี้ ผ่าทางตันของประเทศให้สำเร็จ เหมือนคำกล่าวที่ว่า สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ หากทำสำเร็จคนไทยจะจดจำชื่อนี้ไปอีกนานแสนนาน”
ทั้งนี้ ล่าสุดนี้นักลงทุนต่างชาติทยอยสอบถามมายัง ส.อ.ท.ถึงปัญหาการเมืองในไทยว่าจะยุติลงหรือไม่หลังการรัฐประหาร ซึ่ง ส.อ.ท. ก็ได้ยืนยันว่า ขอให้มั่นใจประเทศไทยว่า ทุกฝ่ายจะร่วมมือกันก้าวข้ามวิกฤติครั้งนี้ไปได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการที่ต่างชาติสอบถามมาก็เพราะเป็นห่วงว่า ผู้ผลิตสินค้าของไทยอาจไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามออเดอร์ หรือบางประเภท อาจชะลอการสั่งสินค้าในงวดใหม่
เนื่องจากเงื่อนไขเรื่องการรัฐประหาร บางประเทศมองว่าคือการปิดประเทศซึ่งน่าเป็นห่วงเช่นกัน เพราะหากเครื่องจักรที่ปั๊มรายได้เข้าประเทศคือ ภาคการส่งออกชะลอตัว จะทำให้รายได้การส่งออกลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่กำลังขาดสภาพคล่อง เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
“สัปดาห์หน้านี้ ส.อ.ท.จะหารือร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อขอให้เข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี เพื่อการันตีให้สถาบันการเงิน ผ่อนปรนการปล่อยสินเชื่อให้เป็นพิเศษ เพราะขณะนี้ บสย.มีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อที่สามารถรองรับได้ถึง 165,000 ล้านบาท โดย ส.อ.ท.ต้องการให้ช่วยเหลือค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี 52,000 ราย หรือประมาณ 280,000 ล้านบาท
“การที่ ส.อ.ท.ต้องเร่งรัดช่วยเหลือเอสเอ็มอีเป็นกรณีพิเศษ เพราะว่าเอสเอ็มอีทั้งประเทศมีกว่า 2.2 ล้านกิจการ เกี่ยวเนื่องกับการจ้างงานหลายล้านคนและเป็นอีกเครื่องยนต์ขับเคลื่อน เศรษฐกิจที่สำคัญจะปล่อยให้ดับลงไม่ได้เด็ดขาด”.

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย
รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
“สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ที่กินระยะเวลายาวนานมาถึงกว่า 6 เดือนนั้น ทำให้ประชาชนต้องการความสุขอย่างยั่งยืน จากสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่มีคุณภาพ แต่เมื่อปัญหาการเมืองยังไม่จบสิ้น ความสุขอย่างยั่งยืนของคนไทยก็ยังไม่เกิดขึ้น...
ดังนั้น การยึดอำนาจที่นำมาซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลในระยะเวลาอันสั้น การมีนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการยอมรับจากทั้งคนไทยและต่างชาติ และการมีนโยบายบริหารประเทศที่ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในขณะนี้ได้
ก่อนหน้านี้ ปัญหาการเมืองได้ทำให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกเศรษฐกิจชะลอตัว และแนวโน้มความขัดแย้งอาจรุนแรงมากขึ้น ทหารจึงประกาศกฎอัยการเพื่อป้องกันความรุนแรงและดูแลความสงบ จากนั้นได้เชิญคู่ขัดแย้งมาเจรจาหาทางออก แต่ทุกฝ่ายก็ยังยืนยันจุดยืนเดิมของตน และไม่มีท่าทีผ่อนคลาย หากความขัดแย้งยังไม่สามารถแก้ไขได้ การเมืองจะยิ่งขาดเสถียรภาพอย่างรุนแรง สังคมจะเกิดความแตกแยกยาวนานมากขึ้น เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ลงทุนในไทยระยะยาว อย่างญี่ปุ่นที่เริ่มมีคำถามแล้วว่า ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า และควรจะยังลงทุนต่อในไทยหรือย้ายฐานไปที่อื่นหรือไม่
“การดำเนินการของทหารน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในขณะนี้ เพราะจะทำให้การเมืองมีเสถียรภาพในระยะยาว เศรษฐกิจมั่นคงและสังคมน่าจะสมานฉันท์มากขึ้น เหมือนเป็นการวางรากฐานระยะ ยาว แม้ระยะสั้นจะเกิดผลกระทบในทางลบ แต่ก็ต้องยอมรับเหมือนคนผ่าตัดหัวใจที่ต้องมีเวลาพักฟื้น เพื่อให้กลับมาแข็งแรง”
ในด้านเศรษฐกิจนั้น แม้ประเทศไทยจะมีปัญหาการเมือง แต่เศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพจะเติบโตได้ถึง 2-3% ในปีนี้ หากการเมืองมีเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้บริโภคจะกลับมา อาจมีการลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และรองรับการเติบโตของอาเซียน
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยจะมีศักยภาพเติบโตได้ถึง 2-3% ในปีนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการได้มาของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีด้วยว่า เร็วเพียงใด และมีนโยบายบริหารประเทศฟื้นเศรษฐกิจอย่างไร หากทำได้เร็ว มีนโยบายที่ดี จะสามารถฟื้นความเชื่อมั่นในสายตาชาวโลกได้ แต่หากตรงกันข้าม คือทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ไม่น่าเชื่อถือทั้งในสายตาคนไทยและโลก นโยบายที่ออกมาไม่ดีก็มีโอกาสทำให้เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2% หรือต่ำกว่าได้
“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินภาพเศรษฐกิจปีนี้ ถ้าตั้งคณะรัฐมนตรี และมีนายกรัฐมนตรีได้เร็ว และมีคุณภาพได้รับการยอมรับ ทำงานได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพะวงเรื่องการเมืองอีก จะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไทยมาก”
สำหรับประชาชน และนักธุรกิจนั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน โอกาสหารายได้ และกำไรไม่สูงมากนัก ก็ไม่ควรประมาทในเชิงรายได้ โดยประชาชนในกลุ่มที่รายรับไม่กระทบ หรือได้เงินเดือนประจำ และมีรายรับมากกว่ารายจ่าย มีเงินเก็บเงินออม ไม่ต้องเครียด สามารถใช้จ่ายได้ตามกรอบที่เหมาะสม แต่อาจเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายบ้างก็ได้ หรือลงทุนในหลักทรัพย์ที่มูลค่าไม่สูงมากนักหรือลงทุนใหม่ เมื่อการเมืองคลายตัว และเศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่ง ก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้น
ส่วนประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้และรายจ่ายแบบเดือนชนเดือน ไม่มีเงินเก็บ ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายอย่างมาก โดยต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือการลงทุนที่ไม่จำเป็นลงบ้าง เพราะหากสถานการณ์พลิกผันไปในทางไม่ดี จะได้มีเงินพอดีๆ แต่ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะมีเงินเหลือเก็บ
ขณะที่กลุ่มคนที่มีรายได้น้อย หรือผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่มีรายได้ลดลงมากแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น เริ่มก่อหนี้นั้นต้องรอจังหวะเศรษฐกิจฟื้นตัวเพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น โดยต้องปรับปรุงคุณภาพสินค้า และปรับปรุงคุณสมบัติของตนเอง เพื่อหารายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรืออาจซื้อสินค้าที่ราคาถูกลงแต่คุณภาพใกล้เคียงกันใช้ไปก่อน แต่หากเป็นหนี้นอกระบบก็ต้องใช้ความพยายามในการเจรจาหนี้มากขึ้น หรืออาจเจรจาขอเปลี่ยนจากหนี้นอกระบบมาเป็นในระบบแทน เพราะจะเสียดอกเบี้ยถูกกว่า.

วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
ที่ปรึกษาสมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาถึงวันนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตติดลบติดต่อกันใน 2 ไตรมาสแรกของปีซึ่งถือว่า เป็นการถดถอยทางเทคนิค แต่ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจของเราไม่ดี หรือรุนแรงถึงขั้นจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงอย่างมโหฬาร
จึงอยากให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของไทยมีความยืดหยุ่นและทนทานต่อวิกฤติอยู่มากพอสมควร เพราะภาคเอกชนไทยมีความเข้มแข็งแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าผลกระทบของการเมืองต่อเศรษฐกิจ น่าจะเป็นผลกระทบชั่วคราว ที่คาดว่า น่าจะดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
“การบริโภค การใช้จ่ายของประชาชนน่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า หากสถานการณ์คลี่คลาย แต่ผลกระทบต่อการลงทุน ทั้งการลงทุนของนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศอาจชะลอตัว และกว่าจะฟื้นตัวได้ก็คงต้องใช้เวลา โดยในช่วงแรกนี้ คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง ตลาดหุ้นอาจมีความผันผวน เงินลงทุนจากต่างประเทศอาจจะไหลออกมากขึ้นและการลงทุนใหม่ๆ ที่เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอาจชะงักงันไปบ้าง แต่เมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาพปกติ ความมั่นใจในการลงทุนจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น และเชื่อว่าเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองจะกลับมาและน่าจะมั่นคงกว่า เดิม”
ในส่วนของการดูแลปัญหาเงินทอง ปัญหาปากท้องประชาชนคนเดินถนน ที่จะต้องปรับตัวให้อยู่รอดในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือบุคคลธรรมดาที่มีเงินเดือนประจำ มีรายได้สม่ำเสมอ รายได้ของคนกลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระทบ เช่น ข้าราชการ พนักงานบริษัทที่มั่นคง
ควรจะใช้จ่ายตามปกติ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจมีการเคลื่อนไหวหมุนเวียน และควรใช้ประโยชน์จากรายการส่งเสริมการขายของห้างร้านต่างๆที่มีการลดราคา มีของแถม เป็นต้น นอกจากนี้ อาจจะเร่งการซื้อของชิ้นใหญ่ขึ้นมาเร็วขึ้น หากมีรายการส่งเสริมการขายที่ดี และไม่กระทบกระเทือนกระแสเงินสดที่มีมากนัก
กลุ่มที่สอง คือกลุ่มบุคคลที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอ ทำงานไม่เต็มเวลา หรือทำงานในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้น หรือผู้ประกอบธุรกิจของตนเอง และยังมีขนาดเล็ก ไม่มั่นคง แนะนำให้ควรระมัดระวังเรื่องสภาพคล่อง เพราะรายได้อาจจะลดลง ดังนั้น จะต้องดูแลรายจ่ายให้ดี ไม่ให้ติดขัด โดยใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น พยายามประหยัด และดูแลรายจ่ายไม่ให้เกินรายรับ นอกจากนี้ อาจจะหางานพิเศษทำเพิ่มเติม ชั่วคราว
กลุ่มที่สาม คือกลุ่มบุคคลผู้มีรายได้สูง มีฐานะดีมีกำลังซื้อ หรือผู้ที่มีเงินลงทุน ข้อแนะนำคือ ขอให้ตระหนักว่าสภาพคล่องเป็นสิ่งสำคัญ หากมีเงินสด หรือมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝาก หรือกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดเงินระยะสั้น (มันนี่มาร์เก็ต ฟันด์) จะทำให้มีความคล่องตัวเมื่อโอกาสดีๆในการลงทุนมาถึง
“อย่างไรก็ตาม การลงทุนช่วงนี้จะมีความผันผวน จึงควรระมัดระวังและต้องกระจายการลงทุน อย่าทุ่มลงไปในตราสารหรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งทั้งหมด แต่ควรทยอยลงทุน โดยไม่ลงในจังหวะเดียวทั้งหมด”
อีกประเด็นหนึ่งที่อยากแนะนำคือเรื่องการจัดการหนี้สิน เพราะภาระดอกเบี้ยก็เป็นหนึ่งในรายจ่ายที่ควรจัดการหลายๆคนก่อหนี้เพิ่มใน ยามเศรษฐกิจดี โดยคาดหวังว่าในอนาคตจะมีรายได้เพิ่มเพื่อมาผ่อนชำระหนี้เมื่อรายได้ลด หรือเมื่อเศรษฐกิจไม่เป็นใจ ก็จะเกิดปัญหาตามมาโดยทั่วไป สัดส่วนของเงินที่นำไปผ่อนชำระหนี้ หากไม่เกินหนึ่งในสามของรายได้ จะทำให้การผ่อนหนี้ไม่เป็นภาระมากเกินไป หรือสูงสุดจริงๆก็อาจจะประมาณ 35% ของรายได้เพื่อให้เหลืออีก 65% เอาไว้จ่ายภาษี ใช้จ่าย และเก็บออม
ส่วนผู้ที่มีปัญหาในการผ่อนหนี้สิน แนะนำให้ไปคุยกับเจ้าหนี้ซึ่งหากเป็นสถาบันการเงินอาจคุยง่ายกว่าหนี้นอก ระบบ และควรไปแต่เนิ่นๆ หารือว่า รายได้เราลดลง เพื่อที่เขาจะได้พิจารณาปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระใหม่ ให้จำนวนเงินที่ผ่อนต่องวดอยู่ในจุดที่เราไม่รู้สึกตึงเกินไป
“สำหรับผู้ที่มีหนี้หลายวงเงิน หรือหลายก้อนตามภาษาชาวบ้าน แนะนำให้ลองหาทางลดภาระดอกเบี้ยด้วยการยุบรวมวงเงิน หนี้ที่มีหลักประกัน เช่น เงินกู้ซื้อบ้าน จะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด หากมีวงเงินเหลือ หมายถึงได้ผ่อนจนเงินต้นลดลงไปบ้างแล้ว อาจย้ายหนี้อื่นที่ไม่มีหลักประกัน และอัตราดอกเบี้ยสูง หรือหนี้นอกระบบ มาอยู่รวมในวงเงินกู้บ้าน เพื่อลดภาระจ่ายดอกเบี้ยลง”.