ปัญหา การเมืองยืดดเยื้อส่งผลกระทบหนักกับธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี คาดหากยังไม่จบภายในปีนี้ เอสเอ็มอีต้องปิดกิจการแน่ๆ 8 แสนราย ซ้ำเจอผลจากการแข่งขันหลังเปิดเวทีเออีซี หอการเผย ผลการศึกษา ระบุไทยสุญเสียตลาดส่งออกในกลุ่มประเทสอาเวียนไปแล้วกว่า 1.8 แสนล้านบาท หากปัญหาภายในยังไม่จบอาจสูญเสียมากว่านี้ - See more at: http://www.naewna.com/business/103684#sthash.ufLXU2yx.dpuf
ปัญหาการเมืองยืดดเยื้อส่งผลกระทบหนักกับธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี คาดหากยังไม่จบภายในปีนี้ เอสเอ็มอีต้องปิดกิจการแน่ๆ 8 แสนราย ซ้ำเจอผลจากการแข่งขันหลังเปิดเวทีเออีซี หอการเผย ผลการศึกษา ระบุไทยสุญเสียตลาดส่งออกในกลุ่มประเทสอาเวียนไปแล้วกว่า 1.8 แสนล้านบาท หากปัญหาภายในยังไม่จบอาจสูญเสียมากว่านี้
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินศักยภาพการแข่งขันของสินค้าไทยใน ASEAN + 3 ได้แก่ จีน เกาหลีและญี่ปุ่น โดยระบุว่าจากการวิเคราะห์สินค้า 8 รายการ ได้แก่ ยางพารา ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ยานพาหนะ ชิ้นส่วนประกอบอุปกรณ์ขนส่ง, ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าว น้ำมันปาล์มเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยที่มีสัดส่วนกว่า 50 % ของการส่งออกรวม พบว่าในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา (ปี 2550-2556) ซึ่งไทยเริ่มทำความตกลง ASEAN + 3 ปรากฏว่าไทยสูญเสียตลาดส่งออกสินค้าให้กับประเทศสมาชิกอื่นในอาเซียน คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 180,000 ล้านบาท
ทั้งนี้สินค้าที่มีศักยภาพในการแข่งขันแย่ลง ได้แก่ ข้าว น้ำมันปาล์มดิบ และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ส่วนสินค้าที่มีศักยภาพปานกลาง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไม้ และเครื่องใช้ไฟฟ้า และหากสถานการณ์ทางการเมืองยังมีความขัดแย้งยืดเยื้อจนถึงปลายปี 2557 ผลิตภัณฑ์ไม้ และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะมีศักยภาพการแข่งขันลดลงจากปานกลางไปสู่กลุ่มที่มีศักยภาพแย่ลง ซึ่งจะส่งผลให้ไทยสูญเสียตลาดส่งออกให้กับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในอาเซียน คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 250,000 ล้านบาท
นายอัทธ์ กล่าวอีกว่าจากปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบอย่างหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือเอสเอ็มอี ที่มีแนวโน้มจะปิดตัวลงประมาณ 30-40 % หรือประมาณ 700,000 - 800,000 ราย จากเอสเอ็มอีทั้งประเทศกว่า 2 ล้านราย ซึ่งสถานการณ์จะยิ่งรุนแรงขึ้น เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 และการเมืองไทยยังไม่นิ่ง
สำหรับผลการศึกษาศักยภาพการแข่งขันสินค้าอาเซียน+ 3 พบว่าในช่วง 54-56 นั้นประเทศที่สูญเสียส่วนแบ่งทางตลาดของจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ มี 3 ประเทศโดยสินค้าจากฟิลิปปินส์ มีมูลค่าสูญเสียมากที่สุด 728,329 ล้านบาท รองลงมาเป็น สิงคโปร์ 393,194 ล้านบาท, ไทย 183,125 ล้านบาท ส่วนประเทศที่ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมี 7 ประเทศ โดยมาเลเซียได้ส่วนแบ่งเพิ่มมากที่สุด 596,653 ล้านบาท รองลงมาเป็น เวียดนาม 306,157 ล้านบาท, อินโดนีเซีย 69,796 ล้านบาท, พม่า 65,002 ล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้สิ่งที่ไทยสามารถร่วมมือกับอาเซียน+3ได้ขณะนี้ไทยสามารถร่มมือกับจีน ได้คือการให้จีนเป็นฐานการส่งออก การทำความร่มมือกับญี่ปุ่นในการทำแพกเกจจิ้ง การทำความร่วมมือกับเกาหลีในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นต้น ซึ่งในสถานการณ์ปัจจันบันจะเป็นตัวช่วยให้กับการทำธุรกิจไทยได้มีโอกาสเรียน รู้และสร้างศักยภาพการแข่งขันได้ ส่วนการจะแก้ปัญหาการแข่งขันของไทยให้มีศักยภาพอย่างแรกที่ต้องทำคือการแก้ ปัญหาการเมืองให้ได้ก่อน
“ปัญหาของประเทศไทยขณะนี้มีอยู่เรื่องเดียว คือ ปัญหาทางการเมือง เพราะไทยมีศักยภาพทุกอย่างพร้อม เพียงแค่การเมืองนิ่งไทยก็จะมีศักยภาพการแข่งขันในอาเซียนเพิ่มขึ้น ส่วนอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี57-58มีโอกาสที่จีดีพีอาจจะถึงขั้นติดลบจาก ปัญหาการเมือง เพราะไม่มีงบประมาณรายจ่ายปี 2558 ที่จะพยุงเศรษฐกิจให้เกิดการลงทุน “
ด้านนางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศ หรือ ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังติดตามการประกาศอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ไตรมาส 1/2557 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.ในวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคมนี้ ว่า ตัวเลขจะออกมาเป็นอย่างไร เพื่อ ธปท.จะนำข้อมูลมาพิจารณาปัจจัยที่มีแรงส่งทางเศรษฐกิจ เพราะจากข้อมูลเศรษฐกิจ พบว่าขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองมีความไม่แน่นอนสูงและยืดเยื้อมีผลกระทบต่อ เศรษฐกิจในภาพรวม เครื่องชี้เศรษฐกิจหลายตัวมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจไตรมาส 1/2557 จะติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2556
ทั้งนี้สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอน ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วง 2-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มประเทศในภูมิภาค ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมเงินต่างประเทศของรัฐบาลและเอกชนเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่ ได้อยู่ในภาวะช็อกตลาด หลังจากที่ค่าประกันความเสี่ยงของไทยได้ปรับขึ้นเล็กน้อยมายู่ที่ 124.5 ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2557 จากระดับ 123 ในวันที่ 10 เมษายน 2557 ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีค่าประกันความเสี่ยงลดลง อาทิ มาเลเซียลดลงมาอยู่ที่ 93.5 จาก 97 ซึ่งสะท้อนว่าตลาดการเงินคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่เกิดขึ้นใน ประเทศไทย
ส่วนความเคลื่อนไหวในตลาดตราสารหนี้ พบว่าการออกตราสารหนี้ของรัฐและเอกชนไทย ยังเป็นไปตามปกติ เช่นเดียวกับการถือครองตราสารหนี้ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การออกหุ้นกู้ใหม่อาจปรับลดลงบ้าง เพราะเอกชนไม่มีความจำเป็นในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการเพิ่ม
นาย อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินศักยภาพการแข่งขันของสินค้าไทยใน ASEAN + 3 ได้แก่ จีน เกาหลีและญี่ปุ่น โดยระบุว่าจากการวิเคราะห์สินค้า 8 รายการ ได้แก่ ยางพารา ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ยานพาหนะ ชิ้นส่วนประกอบอุปกรณ์ขนส่ง, ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าว น้ำมันปาล์มเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทยที่มีสัดส่วนกว่า 50 % ของการส่งออกรวม พบว่าในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา (ปี 2550-2556) ซึ่งไทยเริ่มทำความตกลง ASEAN + 3 ปรากฏว่าไทยสูญเสียตลาดส่งออกสินค้าให้กับประเทศสมาชิกอื่นในอาเซียน คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 180,000 ล้านบาท - See more at: http://www.naewna.com/business/103684#sthash.ufLXU2yx.dpuf
ปัญหา การเมืองยืดดเยื้อส่งผลกระทบหนักกับธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี คาดหากยังไม่จบภายในปีนี้ เอสเอ็มอีต้องปิดกิจการแน่ๆ 8 แสนราย ซ้ำเจอผลจากการแข่งขันหลังเปิดเวทีเออีซี หอการเผย ผลการศึกษา ระบุไทยสุญเสียตลาดส่งออกในกลุ่มประเทสอาเวียนไปแล้วกว่า 1.8 แสนล้านบาท หากปัญหาภายในยังไม่จบอาจสูญเสียมากว่านี้ - See more at: http://www.naewna.com/business/103684#sthash.ufLXU2yx.dpuf