3สถาบันภาคเอกชน สุดทนปัญหาการเมืองลากเศรษฐกิจทรุดหนัก เตรียมทำหนังสือด่วนยื่นรัฐบาล ใช้มาตรการทางภาษี 3 ข้อ เพื่อประคองสถานการณ์ ชี้นายกฯถูกตัดสินพ้นสภาพ ไม่มีผลอะไร แต่ห่วงความขัดแย้งที่จะตามมา ผู้บริหารแบงก์ เผยนักลงทุนต่างชาติเริ่มแสดงความเป็นห่วงปัญหาภายในประเทศไทย ส่วนคนไทยเองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะจับจ่ายใช้สอย

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน(กกร.)ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงผลกระทบทางการเมืองต่อระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจากการประเมินตัวเลข พบว่า การบริโภค การลงทุน กำลังผลิตของภาคอุตสาหกรรม การนำเข้าสินค้าทุนเพื่อการส่งออก รวมถึงการท่องเที่ยวมีอัตราที่ลดลงอย่างน่ากังวล
"ซึ่ง กกร.ได้ประเมินถึงผลกระทบการเมือง ว่า หากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายโดยเร็วคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี จะอยู่ที่ 2.5-3 % หากยืดเยื้อจีดีพีไปถึงสิ้นปีจะอยู่ที่ 1-2 % แต่หากยืดเยื้อและมีเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้จีดีพีติดลบได้"นายสุพันธ์กล่าว
ทั้งนี้ กกร.จะทำหนังสือด่วนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)ส่งหนังสือไปหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กก ต.)ในการอนุมัติให้ครม.มาดำเนินการใน 3 เรื่องสำคัญที่จะมีผลต่อการกระตุ้นอัตราการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ ในปีนี้ ประกอบด้วย 1. ขอให้กระทรวงการคลัง คงภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต)ในอัตรา 7 % ต่อไป 2. ขอให้คงอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ที่ 20 %ไว้ตามเดิม และ 3.ขอให้คงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แบ่งเป็น7 ขั้นภาษี ไว้ตามเดิมโดยจะขอให้ทั้ง3 ประเภทภาษีดังกล่าวคงไว้ไปจนถึงวันที่31 ธ.ค.2559
นอกจากนี้ กกร.จะเร่งไปหารือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อหาทางว่าจะทำอย่างไรให้บสย.เพิ่มเติมมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งต้องการให้บสย.ให้สินเชื่อเพิ่มมากขึ้นและขอให้ขยายวงเงินสินเชื่อให้ กับเอสเอ็มอี ทั้งการยืดอายุหนี้ และการหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพิ่มเติมให้ จนถึงสิ้นปีนี้
นายสุพันธ์ กล่าวว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณตัดสินการสิ้นสภาพของนายก รัฐมนตรี นั้นเชื่อว่าคำตัดสินจะไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นไปตามขั้นตอนปกของศาลฯหลังมีผู้ร้องเรียน แต่สิ่งที่เป็นห่วงความขัดแย้งจะเกิดขึ้น หากทั้งสองฝ่ายไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล “ไม่ว่าผลคำตัดสินจะทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ แต่ไม่สำคัญเท่าที่ทุกฝ่ายยอมรับคำตัดสิน และหากรัฐบาลยังคงดำรงตำแหน่งรักษาการต่อไป เศรษฐกิจก็ยังมีปัญหาในเรื่องการผลักดันงบประมาณ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ได้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือไม่มีการลงทุนใหม่ ไม่มีกิจการที่จะขยายการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา “ นายสุพันธ์ กล่าว
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ขณะนี้ การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยปี 2557 มีโอกาสขยายตัวได้ 2-3% หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลถาวรเข้ามาบริหารประเทศได้ภายในไตรมาส 3 แต่หากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อออกไปจนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลถาวรได้ จีดีพีปีนี้มีโอกาสโตได้ 1-2% เท่านั้น เนื่องจากปัญหาทางการเมืองจะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนมีการชะลอตัวลง ซึ่งจะทำให้ไทยเสียโอกาสในการเป็นศูนย์กลางในการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองในประเทศ แต่โดยภาพรวมของเศรษฐกิจแล้วยังถือว่าอยู่ในระดับที่ทรงตัวหรือขยายตัวได้ เล็กน้อย ต่างจากวิกฤตตอนปี 2540 หรือช่วงน้ำท่วมใหญ่ซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวติดลบ และที่สำคัญกำลังซื้อในประเทศยังคงมีอยู่เพียงแต่ชะลอตัวลงเท่านั้น เนื่องจากไม่มีความมั่นใจในการจับจ่าย
"คนในประเทศตอนนี้มีกำลังซื้อแต่ไม่มีกำลังใจในการจับจ่าย เพราะยังไม่แน่ใจว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่หากปัญหาทางการเมืองชัดเจนขึ้นในไตรมาสนี้และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ใน ไตรมาส 3 บรรยากาศการจับจ่ายและการลงทุนจะกลับมาดีขึ้น และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2-3% แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นเศรษฐกิจมีโอกาสจะทรงตัวหรือขยายตัว 1-2% เท่านั้น" นายกอบศักดิ์ กล่าว
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส ( ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2557 บริษัทฯมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยจากปัจจุบันที่คาดว่าจะ อยู่ที่ 1,450 จุด หากปัจจัยทางด้านการเมืองมีความชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2 โดยระยะสั้นคาดว่าดัชนีหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้ ต้องจับตาการตัดสินจากศาลรัฐธรรมนูญและปปช.ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยเดือน พ.ค. มีโอกาสปรับฐานเล็กน้อย
ขณะที่ กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวที่ 8-9% เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองจะส่งผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น ไม่ได้กระทบปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจและธุรกิจของบจ.ไทย โดยมองว่าที่ดัชนีปัจจุบันซึ่งมี P/E อยู่ที่ 13 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับเหมาะสม และเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าทยอยซื้อในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองไป แล้วก่อนหน้านี้ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ