กรมส่งเสริมการค้าฯลุยภูฏานจัดทัพอุตสาหกรรมก่อสร้าง-ธุรกิจบริการ ร่วมลงทุนพัฒนาระบบเครือข่ายสาธารณูปโภคตามแผน 10 ขยายความเจริญสู่เมืองรอง

นางดวงกมล เจียมบุตร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการเดินทางนำคณะผู้แทนการค้าสินค้าวัสดุก่อสร้างและกลุ่มธุรกิจ บริการที่เกี่ยวเนื่องไปเจรจาการค้าการลงทุน พร้อมจับคู่ธุรกิจ 17 บริษัทของไทยกับภาคเอกชนภูฏาน ระหว่างวันที่ 22-26 เมษายนนี้ ณ เมืองทิมพู และเมืองพาโร ณ ประเทศภูฏานว่า จากความเจริญที่เข้ามาสู่ภูฏานทำให้ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 1 แสนคน และการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของประชากรภูฏานที่คาดว่าภายในปี 2563 จะมีประชากรในเขตชุมชนเมืองเพิ่มขึ้น 50% จากประชากรที่มีอยู่ราว 7.6 แสนคน
“การเดินทางครั้งได้หารือกับปลัดกระทรวงงานและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์และผู้อำนวยการสำนักงานการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ กระทรวงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเห็นพ้องต้องกันที่จะเปิดตลาดธุรกิจบริการ ก่อสร้างและท่องเที่ยว เช่น วัสดุก่อสร้าง การออกแบบ วิศวกรที่ปรึกษา เป็นต้น การร่วมลงทุนระหว่างสองประเทศ และการสร้างความร่วมมือต่อไปในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มลู่ทางการค้าลงทุน การประชาสัมพันธ์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จัก และการศึกษาสภาวะตลาดได้เป็นอย่างดี”นางดวงกมล กล่าว
ตามแผนพัฒนาประเทศผ่านการใช้นโยบาย “แผน 10”ของรัฐบาลภูฏาน เล็งเห็นถึงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่ได้มาตรฐาน การพัฒนาการท่องเที่ยวด้วยการสร้างโรงแรมที่พักรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในเมืองใหญ่และเมืองต่างๆ แต่ยังคงคุณค่าของความเป็นภูฎาน วัฒนธรรมและการรักษาไว้ซึ่งธรรมชาติด้วย รวมถึงการศึกษาลู่ทางการลงทุนตามแผนพัฒนาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะไม้ซุงไม้ไผ่และแร่ธาตุ
ทั้งนี้รัฐบาลต้องการพัฒนาคนให้มีคุณภาพเพื่อเป็นหนึ่งแรงผลักดันสำคัญในการ พัฒนาประเทศ ขณะที่เมืองสำคัญรองจากเมืองหลวงที่ต้องการพัฒนา คือ เมืองกาลีภู ซึ่งตั้งใจให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคภายในประเทศทั้งยังจะเป็นแหล่งกำเนิด ของสนามบินนานาชาติแห่งที่สอง ชุมทางรถไฟ เป็นแหล่งอุตสาหกรรมสำคัญ ที่ทำการของรัฐบาล ศูนย์การประชุมแห่งชาติและอื่นๆ อีกด้วย โดยมีแผนการใช้เงินในการพัฒนาประเทศภายใต้งบประมาณ 1,700 ล้านบาท
“แนวโน้มการขยายของชุมชนเมืองสำคัญ เช่น ทิมพู และพันธ์โชลิง เริ่มได้รับผลกระทบจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น เช่น ปัญหาขาดแคลนน้ำ ขาดแคลนแหล่งที่อยู่อาศัย ปัญหาขยะ ปัญหามลพิษและมลภาวะ เป็นต้น เชื่อว่าการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคจะทำให้ภูฏานยังคงคุณค่าทางวัฒนธรรมและ ธรรมชาติ”
สำหรับการค้าระหว่างสองประเทศ ในปี2556 มูลค่าการค้า 5.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม เคหะสิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ และเฟอร์นิเจอร์ ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์

นายจักรพร อุ่นจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม และสมาคมก่อสร้างแห่งภูฏานได้เคยทดลองซื้อเครื่องมือ และวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการก่อสร้างที่สามารถขนส่งทางเครื่องบินได้ใน เบื้องต้นแล้ว มีการหารือลงทุนด้านการจัดหาวัสดุ เครื่องจักร อุปกรณ์ น้ำยา เฟอร์นิเจอร์ในงานก่อสร้าง รวมถึงการฝึกอบรมช่างก่อสร้าง เป็นต้น เชื่อว่าการเดินทางไปในครั้งนี้จะสามารถขยายการค้าได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว