สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

เจาะช่องค้าชายแดนให้เอสเอ็มอี
18/04/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

การประกาศชัยชนะของประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) คนใหม่ที่มาแทนนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ที่หมดวาระลงเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา โดยนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น จากกรรมการส.อ.ท.หรือกส.ที่มีอยู่ 348 เสียง ที่จะมาขับเคลื่อนส.อ.ท.ในช่วงปี 2557-2559 ซึ่งถือเป็นเสาหลักของภาคอุตสาหกรรม อาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบก็ว่าได้ เพราะจะต้องเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งภายในองค์กร พร้อมกับการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ เรียกความเชื่อมั่นในสายตาของบุคคลภายนอกให้กลับคืนมา

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง การขับเคลื่อนภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากวิกฤติทางการเมือง ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยุติลงได้เมื่อใดนั้น กำลังเป็นปัญหารุมเร้าของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ที่กำลังจะล้มหายตายจากไป จากกำลังซื้อภายในประเทศหดตัว และการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ในฐานะหัวเรือใหญ่ของส.อ.ท.นายสุพันธุ์ จะมีวิสัยทัศน์ นำพาส.อ.ท.ให้เกิดความเข้มแข็ง พร้อมกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เดินหน้าต่อไปในภาวะเช่นนี้ได้อย่างไร นั้น นายสุพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างน่าสนใจ

+++ยอมรับหนักใจกับการทำงาน
    การเข้ามารับตำแหน่งในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังมองไม่เห็นว่าจะยุติ ลงได้เมื่อใด ถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย และต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะทุกอย่างนิ่งหมด ไม่สามารถขับเคลื่อนหรือนำเสนอมาตรการ และข้อเสนอแนะกับทางรัฐบาลรักษาการได้ ขณะที่การแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในส.อ.ท. เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและดึงความเชื่อมั่นของส.อ.ท.ให้กลับคืนมาก็ต้อง เร่งฟื้นฟู ซึ่งการเข้ามารับตำแหน่งนี้ถือว่าจำเป็น ที่จะต้องอาศัยกลไกและโครงสร้างของส.อ.ท.ที่มีอยู่ มาแก้ปัญหาต่างๆให้สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้
    ดังนั้น การทำงานทั้งภายในและนอกองค์กรคงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ค่อนข้างมาก เพราะสมาชิกมีเพิ่มมากขึ้นจากที่มีอยู่ราว 7-8 พันราย ใน74 จังหวัด 42 กลุ่มอุตสาหกรรม และแต่ละกลุ่มก็มีสมาชิกของกลุ่มเองที่ทำธุรกิจเดียวกัน เพราะฉะนั้น แต่ละกลุ่มจะต้องทำงานให้สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมของตัวเองที่มีอยู่ ซึ่งจะต้องไปรวบรวมสมาชิกทั่วประเทศว่าอยู่ตรงไหนบ้าง และให้แต่ละกลุ่มดูแลบทบาทของตัวเองและสมาชิกต่างจังหวัด ส่งข้อมูลด้านต่างๆให้รับทราบทั่วกัน จะทำให้เกิดการหล่อหลอม ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    "ประมาณวันที่ 13-14 มิถุนายนนี้ ส.อ.ท.จะจัดประชุมเวิร์กช็อป เพื่อให้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมที่อยู่ต่างจังหวัด มารู้จักกันมากขึ้น พร้อมกับการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่างๆ อันจะเป็นการสร้างความเป็นเอกภาพให้กับสมาชิก และเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ ความเข้าใจที่ดีระหว่างกัน ที่จะทำงานเป็นทีม"

+++ดึง5ยักษ์ใหญ่เป็นที่ปรึกษา
    ที่สำคัญถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรก ที่ส.อ.ท.จะเชิญผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศ 5 บริษัท  เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของประธานส.อ.ท.ซึ่งได้ติดต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี นายไพรินทร์ ชูชิตถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ และนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งจะมาคอยช่วยแนะแนวทางการทำงานทุกๆ 3 เดือน
    " เนื่องจากบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทขนาดใหญ่รายได้เกิน 1 แสนล้านบาทต่อปี มีเครือข่ายบริษัทลูกจำนวนมาก และเป็นองค์กรที่มีความรู้ความสามารถ ที่จะมาช่วยสนับสนุนด้านบุคลากรในการถ่ายทอดความรู้ในการบริหารงานให้กับ สมาชิกได้ เป็นการช่วยตอบโจทย์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่บริษัท เหล่านี้ก็จะได้ประโยชน์ จากซัพพลายเชนที่เข้าไปช่วยเหลือ ในการป้อนสินค้าให้ทางหนึ่ง ทำให้ผู้ประกอบการไม่ล้มหายตายจากไปได้

+++ยกร่างข้อบังคับใหม่สู้ปรองดอง    
    นอกจากนี้ การแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากกลไก กฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆ ของส.อ.ท.มีความล้าหลัง โดยเฉพาะข้อบังคับในการเลือกตั้งกส.ที่สมาชิกอยากให้มีการปรับปรุงขึ้นมา ใหม่ ในส่วนนี้ก็จะมีการตั้งทีมงานขึ้นมาดูแล ยกร่างขึ้นมาใหม่ ตลอดจนวิธีการเลือกตั้งกส.ที่ทำให้ส.อ.ท.เกิดความแตกแยก เพราะทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งกส.เพื่อไปเลือกประธานส.อ.ท.ผลที่ออกมาเราจะ เสียคนทำงานอีกฝ่ายหนึ่งไป ซึ่งทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น จึงต้องมีการปรับปรุงระเบียบ โครงสร้างส.อ.ท.ใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพมากขึ้น
    "เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทและมีส่วน ร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของส.อ.ท.มากขึ้น ที่จะได้เรียนรู้การทำงานจากนักอุตสาหกรรมอาวุโส  จำเป็นต้องสร้างนักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่ขึ้นมา โดยการก่อตั้งโครงการทายาทนักอุตสาหกรรม หรือ Young F.T.I. เพื่อมาสานต่อภารกิจของส.อ.ท.ต่อไปในอนาคต และจะเป็นพลังสนับสนุนการทำงานของส.อ.ท.ได้ทางหนึ่งด้วย"

+++ตั้งสายงานดูการค้าชายแดน
    ขณะเดียวกันการที่จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมใน ภูมิภาคอาเซียนได้นั้น ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการหาตลาดใหม่ที่จะมารองรับการทำธุรกิจ ซึ่งโครงสร้างใหม่ จะมีการตั้งสายงานด้านการค้าชายแดนขึ้นมาดูแล เพราะทุกวันนี้ การค้าชายแดนเติบโตค่อนข้างมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านเติบโตดีกว่าไทย ซึ่งสมาชิกที่อยู่ต่างจังหวัดจำเป็นต้องใช้ช่องทางนี้เพิ่มโอกาสการทำธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่ต้องอาศัยช่องทางนี้ในการเปิดตลาดไปสู่ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี
    "รวมถึงการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า โดยนำเอาระบบการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านตลาดออนไลน์ ที่เข้าถึงผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ด้วยระบบ E-Market Place ซึ่งจะเป็นการเปิดกว้างให้กับสมาชิกที่มีอยู่จำนวนมากนี้ รวมถึงกลุ่มเอสเอ็มอี สามารถนำสินค้าไปจำหน่ายได้ทั่วทุกมุมโลก และยังช่วยสร้างการยอมรับในสินค้าที่ส่งไปจำหน่ายได้ด้วย"

+++ยกระดับองค์กรเข้าถึงข้อมูล
    ที่สำคัญการพัฒนาองค์กรหรือบริษัท ถือเป็นสิ่งจำเป็นในกลุ่มเอสเอ็มอี ที่จะต้องมีเทคโนโลยีจัดการใหม่ๆเข้ามาเสริมในการทำงาน ซึ่งขณะนี้ได้มีการทาบทามหลายบริษัทเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อให้สมาชิกสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมของส.อ.ท.ได้อย่างต่อ เนื่อง อย่างการจัดสัมมนาให้ความรู้ ก็จะมีการถ่ายทอดผ่านระบบ Video Conference เพื่อให้สมาชิกเข้าถูกข้อมูลได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการตั้งเป็นศูนย์ข้อมูลกลาง ที่จะเป็นฐานข้อมูลให้สมาชิกเข้ามาใช้ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านแรงงาน การวิเคราะห์สภาพตลาด เป็นต้น
    ส่วนการยกระดับด้านบุคลากร เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ให้ความสำคัญ โดยได้มีการหารือกับบรรดาสมาชิกไปแล้วว่า จะนำเอางบที่ได้จากการจ่ายค่าเป็นสมาชิกส.อ.ท. 50 % แต่ไม่เกิน 2 พันบาท มาใช้เป็นค้าใช้จ่ายสำหรับการจัดสัมมนา ฝึกอบรม ให้กับบุคลากร โดยเฉพาะการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการลดต้นทุนด้านพลังงานลงให้มากขึ้นได้ หากสามารถเปิดตลาดใหม่ได้มากขึ้นบวกกับการลดต้นทุนบริหารจัดการได้ ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอดได้ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เช่น นี้
    ขณะที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังจากนี้ไปแล้วนั้น คงต้องมีการหารือกับกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่วาจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ว่าแต่ละหน่วยงานมีแผนหรือยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนอย่างไรบ้าง เพื่อนำแผนดังกล่าวมาปรับให้สอดคล้องกัน ซึ่งที่ผ่านมาส.อ.ท.ก็มีการจัดทำยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรม ไว้แล้ว ในรูปแบบคลัสเตอร์ ที่จัดจาก 42 กลุ่ม เป็น 11 คลัสเตอร์ และ 74 จังหวัด เป็น 18 คลัสเตอร์ เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,939 วันที่ 13 - 16 เมษายน พ.ศ. 2557

   

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.