
ลุ้นสถานการณ์การเมือง 5 เมษาฯ แบงก์ชาติ "ประสาร" รับแล้วเศรษฐกิจถดถอยหลังสัญญาณไตรมาสแรกหดตัวกว่าไตรมาส 4 ปีก่อน "เอดีบี" ชี้การเมืองเยื้อ ทำเศรษฐกิจไทยปี 57 โตรั้งท้ายภูมิภาคไม่ถึง 2% ส.อ.ท.ห่วงจบใหม่ มี.ค.เตะฝุ่นเพิ่ม ลงทุน บริโภคยวบ - ภาคการผลิตรายเล็กปิดกิจการ แต่ยังมั่นใจทั้งปียังไม่เลวร้าย ด้านบสย.เผยเอสเอ็มอี หนี้ค้างจ่ายเกิน 3 เดือนพุ่ง 27%
จับทางสุดขั้วความยืดเยื้อการเมืองที่ทุกฝ่ายต่างลุ้นให้จบเพราะเห็นผลชัดว่าวิกฤติการเมืองในรอบปีนี้ ได้ส่งผลลามภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ( Real Sector)และนำพาให้เศรษฐกิจไทยสู่ภาวะถดถอยจนหน่วยงานเศรษฐกิจหลักต้องทบทวนปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ครั้งแล้วครั้งเล่า อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ปรับจาก 3% เหลือ 2.7% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เหลือ 2.6% จากเดิมที่ 4%, ภาคเอกชน บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯ ลดเหลือ 1.8 % จากเดิมที่ 3% ทั้งยังเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจปีนี้อาจไม่โต(0%)หรือติดลบ หากสถานการณ์การเมืองรุนแรง
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557 นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ไตรมาส 1 ปีนี้จีดีพีอาจถดถอยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยหดตัวเป็นเดือนที่ 2 แต่ต้องติดตามไตรมาส 2 จะติดลบหรือไม่ แต่ถึงแม้จะติดลบก็ต้องดูรายละเอียดว่ามีการจ้างงานและภาคธุรกิจยังดำเนินกิจการต่อไปได้หรือไม่ เพราะถ้ายังเดินหน้าได้ก็ไม่มีปัญหาที่ต้องกังวล
ทั้งนี้ ต่อกรณีการเข้าชี้แจงเรื่องภาวะเศรษฐกิจไทยต่อคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงินวุฒิสภานั้น ต่อคำถามว่า ธปท.จะปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลงอีกหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจเดือนมีนาคมและเมษายนที่จะเข้ามาใหม่ ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 18 มิถุนายน
โดยยอมรับว่าข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อุปสงค์ในประเทศชะลอลงชัดเจน แต่เชื่อว่ายังมีปัจจัยบวก จากการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่ฟื้นตัวได้และการท่องเที่ยวที่คาดจะฟื้นตัวได้เร็ว หลังรัฐบาลยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว รวมถึงเหตุการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี ส่วนปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แม้จะชะลอลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงเนื่องจากมีการเร่งตัวขึ้นสูง โดย ธปท.ยังคงติดตามและเฝ้าระวังความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีกล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "พัฒนาบริหารศาสตร์ในบริบทอาเซียน"จัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจปีนี้คิดว่าขยายตัวได้ 0% หรืออาจจะติดลบเพราะจากนี้จนถึงสิ้นปีเหลืออีก 3 ไตรมาสซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองไม่สามารถจะคาดการณ์ได้อย่างภาวะเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจตอนนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น แต่การเมืองเวลานี้ทำให้ความเชื่อมั่นของประเทศลดลงเรื่อยๆ แต่หากสถานการณ์การเมืองดีขึ้นความเชื่อมั่นก็จะกลับมา
*ศก.ไทยโตรั้งท้ายภูมิภาค
ล่าสุดนางลักษมณ อรรถาพิช เศรษฐกรอาวุโส ประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยว่า เอดีบีปรับลดประมาณจีดีพี ของไทยลงเหลือ 2.9% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ระดับ 4.5% และนับเป็นอัตราโตต่ำสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเทียบกับฟิลิปปินส์ที่คาดเติบโต 6.4% อินโดนีเซีย 5.7% และมาเลเซีย 5.1% เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ
ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนยังได้รับผลกระทบจากการจ่ายเงินตามโครงการรับ จำนำข้าวที่ล่าช้าและความไม่แน่นอนของโครงการอีกด้วย นอกจากนี้หนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงที่ 80.1% ของจีดีพี กดดันให้การบริโภคชะลอด้วย
สำหรับการส่งออกไทยปีนี้ เอดีบีคาดเติบโต 5.5-6% การลงทุน 1-1.5% และการบริโภค 1.5-2% แต่หากไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะโตต่ำกว่า 2%
ส่วนความท้าทายของเศรษฐกิจไทย เธอกล่าวว่าเนื่องจากนโยบายของไทย เป็นการใช้จ่ายงบประมาณในเชิงที่การพัฒนาไม่ชัดเจน เช่น โครงการรับจำนำข้าว การอุดหนุนราคาเชื้อเพลิง นโยบายรถคันแรก และการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ แม้นโยบายจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่ปัญหาคือนโยบายดังกล่าวไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อให้กลุ่มประชาชนที่อ่อนแอได้ รับผลประโยชน์จากนโยบาย และไม่ได้ช่วยเพิ่มผลิตภาพของเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย
ดังนั้นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือ ควรมีการจัดตั้งสถาบันรวบรวมฐานข้อมูล เพื่อนำมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายที่ดี รวมทั้งการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายและตรวจสอบการดำเนินนโยบาย มากขึ้น ซึ่งจะทำได้โดยการสนับสนุนการจัดตั้งและเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กร ประเภทวิจัยที่ติดตามการดำเนินนโยบายของรัฐ และองค์กรภาคประชาชนที่ไม่แสวงหากำไร
*เอกชนลุ้นผลการเมือง 5 เมษา!
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)(บมจ.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะปรับลดจีดีพีลงอีก เพราะความเสี่ยงที่ยังไม่รู้คือ การเมืองจะจบเมื่อไรหรือเดือนเมษายนนี้จะเป็นอย่างไร จากที่ธนาคารกรุงเทพได้คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโตที่ 2-3% หลังติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์ ) ยังออกมาไม่ค่อยดีนัก
สอดคล้องกับนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความกังวล โดยเฉพาะภาคเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นภาคการผลิตจะได้รับผลกระทบถึงขั้นต้องปิดกิจการ เพราะหากไม่มีออร์เดอร์เข้ามาก็ไม่สามารถดำเนินกิจการได้
นอกจากนี้ยังเป็นห่วงภาคการบริโภคที่จะลดลงด้วย เพราะเศรษฐกิจไทยประสบปัญหาหลายด้าน อีกทั้งภาคการเกษตรก็ได้รับผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าว อย่างไรก็ตามส่วนตัวยังมองภาพรวมเศรษฐกิจของไทยยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายนัก ซึ่งคงต้องขอดูสถานการณ์ทางการเมืองหลังวันที่ 5 เมษายน2556 ว่าจะมีแนวทางออกมาหรือไม่ อย่างไร หากการเมืองยังรุนแรงมากขึ้นผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวต่อไป
เขากล่าวว่า ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย จะหารือเพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจอีกครั้ง เบื้องต้นได้บริหารความเสี่ยงด้านการเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องทางการ เงิน เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบตามมาภายหลัง
ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือส.อ.ท. กล่าวว่า การปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมาก โดยประเมินการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชนไม่ขยายตัว งบประมาณของภาครัฐที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนก็ไม่เพิ่ม ซึ่งดูจากตัวเลขการนำเข้าเครื่องจักรในปีนี้ หรือการขยายโรงงานเกิดขึ้นน้อยมาก ประกอบกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอก็ยังไม่สามารถอนุมัติ โครงการลงทุนได้
*ห่วง น.ศ.จบใหม่ "เตะฝุ่น"
ส่วนตัวเชื่อว่าจะทำให้เกิดอัตราการว่างงานตามมา โดยเฉพาะเด็กวุฒิปริญญาตรีที่จบใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ประมาณ 4 หมื่นคน และหากการเมืองยังยืดเยื้อ และยังไม่มีปัจจัยบวกที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อว่าภาคของการลงทุนใหม่ๆจะยังไม่เกิดขึ้น
ขณะที่ในส่วนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายเล็กจะทยอยปิดกิจการ เนื่องจากไม่มีคำสั่งซื้อ หรือออร์เดอร์ใหม่เข้ามา ส่วนภาคการบริโภคคาดว่าเฉลี่ยในปีนี้จะโตเพียง 2.3% เทียบกับอัตรา เติบโตปกติที่ควรอยู่ที่ 6% อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปีนี้ยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายจนเกินไป โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เศรษฐกิจจะดีขึ้น ซึ่งมาจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
"คาดว่าจีดีพีในปีนี่ยังเฉลี่ยโตได้ที่ 2-2.6% เพราหากสถานการณ์ทางการเมืองไม่รุนแรง หรือเลวร้ายจนเกินไป นักท่องเที่ยวก็ยังเข้ามาเที่ยวในไทย ขณะที่ภาคการส่งออกจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ซึ่งในช่วงนี้ผู้ประกอบการไม่ได้มองว่าจะมีรัฐบาลใหม่หรือไม่ เพราะหากมีรัฐบาลใหม่แต่การเมืองยังไม่ยุติก็ไม่สามารถออกนโยบายได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นความคาดหวังในปีนี้จนถึงปีหน้ายังเป็นการเติบโตของภาคการ ส่งออก" นายธนิตกล่าว
ขณะที่นายวัลลภ เตชะไพบูลย์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาด ย่อม(บสย.)กล่าวว่า 2เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ เทียบกับปีก่อน พบว่าเอสเอ็มอีเริ่มมีปัญหาค้างชำระนานเกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้น 27%หรือค้างชำระต่ำกว่า 3 เดือน เพิ่มขึ้น 20%
*อัตราว่างงานยังต่ำ
ดร.อมรเทพ จาวะลา หัวหน้าส่วนวิจัยเศรษฐกิจและตลาดการเงิน สำนักวิจัย บมจ.ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า หลายฝ่ายได้ประเมินจีดีพีกรณีที่สถานการณ์การเมืองลากยาว การเติบโตอาจจะเหลือเพียง 1% นั้นมองว่า หากเศรษฐกิจถูกปรับลดลงเหลือระดับดังกล่าวจริง แสดงว่าการเมืองจะมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจค่อนข้างรุนแรง ทั้งภาคการบริโภคและการลงทุนจะหดตัวอย่างเห็นชัด รวมถึงการอนุมัติเงินงบประมาณต่างๆ จะล่าช้าออกไปอีก ขณะที่การส่งออกก็เริ่มได้รับความเสียหายหรือถูกกระทบไปด้วยและจะทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในการสั่งซื้อสินค้าและบริการ ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักก็จะหายไป โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น
ในส่วนของอัตราการว่างงานหลายฝ่ายให้ความกังวลจะถูกกระทบ แต่หากพิจารณาจะเห็นว่าตัวเลขอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.6% หากจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1% และอาจต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานก่อนจะถูกระทบ เนื่องจากอัตราการว่างงานจะเกิดขึ้นได้จะต้องผ่านหลายขั้นตอนในการปรับลดต้น ทุน เช่น การลดชั่วโมงการทำงานเกินเวลา (OT) การลดชั่วโมงการทำงาน หรือการลดพนักงาน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในปัจจุบันภาพการลดคนงานยังไม่เกิดขึ้น เพราะหากผู้ประกอบการมองระยะสั้น แต่ระยะยาวอาจจะเจอปัญหาขาดแคลนแรงงานมากกว่า ซึ่งจะกลายมาเป็นต้นทุนในอนาคต
*มองจีดีพีโต 1.3-3%
นายเกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย ปี 2557 ว่าขยายตัวภายใต้กรอบ 1.3-3% โดยมีข้อแม้ว่า หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวถึง 3% นั้น สถานการณ์ทางการเมืองต้องจบลงภายในเดือนมิถุนายน น่าจะทำให้เครื่องจักรที่มาจากการการบริโภคเดินได้
"การใช้จ่าย การจ้างงานสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ด้วยตัวเองแต่หากกำหนดให้จีดีพีขยายตัว ที่ 2.6% ก็ยังถือว่าเป็นระดับที่ดี แต่อาจไม่ส่งผลดีต่อการจ้างงานมากนัก เนื่องจากปัจจุบันอัตราการว่างงาน ณ ยังอยู่ในระดับต่ำ คือ 0.6-0.9% หรือเรียกว่า สภาวะงานตึงตัว แต่อาจส่งผลเชิงบวกทำให้คนที่เคยทำงานแบบพาร์ตไทม์ หรือไม่เต็มเวลา กลับเข้าสู่ระบบการจ้างงานเต็มเวลามากขึ้น"
กรณีที่จีดีพีอาจขยายตัว 1.3% ถือเป็นการขยายตัวถึงจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยแล้ว การบริโภคภาคประชาชนหดตัวรุนแรง การเมืองภายในประเทศไม่สามารถหาทางออกยืดเยื้อไปถึงไตรมาสที่ 3 ขณะที่การท่องเที่ยว รัฐบาลไม่มีการจัดทำแผนรองรับการท่องเที่ยวในภาวะวิกฤติ ขณะที่การส่งออกหดตัวรุนแรงในลักษณะติดลบ เช่นเดียวกับปี 2556 แต่เชื่อว่าการส่งออกน่าจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,936 วันที่ 3 - 5 เมษายน พ.ศ. 2557