สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ญี่ปุ่นเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจสหภาพฯ
26/02/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาสหภาพแรงงานซึ่ง เป็นตัวแทนพนักงานกว่า 27,400 คนของบริษัท นิปปอน สตีล แอนด์ ซูมิโตโม เมทัล คอร์ป. ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นได้ยื่นหนังสือต่อบริษัทขอขึ้นเงิน เดือนเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี นอกจากสหภาพดังกล่าวแล้วยังมีสหภาพแรงงานอื่นๆ ที่เตรียมยื่นหนังสือขึ้นค่าแรงต่อนายจ้างในช่วงสัปดาห์นี้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหภาพแรงงานในญี่ปุ่นเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดว่านี่ คือสัญญาณบ่งบอกอย่างหนึ่งว่านโยบาย "อาเบะโนมิคส์" ที่มุ่งหวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้หลุดพ้นภาวะเงินฝืดที่มีมานานนับ 2 ทศวรรษ ผ่านการกระตุ้นการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชน กระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และขยับเงินเฟ้อให้ถึงระดับ 2 % ในระยะ 2 ปีจะประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่

สื่อต่างประเทศระบุว่า นโยบายอาเบะโนมิคส์ภายใต้รัฐบาลของนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 1 ปี โดยมุ่งเน้นมาตรการทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางเศรษฐกิจและเพิ่มงบ ประมาณให้กับโครงการการลงทุนของภาครัฐ ได้ส่งผลในเชิงบวกทำให้ธุรกิจเอกชนมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่งทางภาครัฐก็ต้องการให้ผลกำไรที่สูงขึ้นดังกล่าวนำไปสู่การเพิ่มรายได้ ให้กับพนักงานบริษัทเหล่านั้น เพราะหมายถึงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค และจะก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในท้ายที่สุด นอกจากนี้ ยังเป็นที่คาดหมายด้วยว่า กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคจะสามารถชดเชยกับภาระค่าใช้จ่ายหรือผล กระทบที่กำลังจะเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีการขาย (sales tax) ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้

ในส่วนของสหภาพแรงงานนิปปอน สตีล นั้น ได้ขอปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำประมาณ 1% หรือคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 3.5 พันเยน (34.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อเดือน ซึ่งเป็นการขอเพิ่มเงินเดือนที่จะมีผลในปีการเงิน 2557 และ 2558 ข่าวระบุว่านี่คือการขอปรับขึ้นค่าแรงครั้งแรกหลังจากที่มีเมื่อครั้งล่าสุด ในปี 2543 หรือ 14 ปีที่แล้ว

นายทาดายูกิ โอโมริ หัวหน้าสหภาพแรงงาน นิปปอน สตีล เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดเพื่อที่จะสามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ได้อย่างแท้จริงและมีการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคตข้างหน้า และในการที่จะไปสู่เป้าหมายดังกล่าวก็จำเป็นที่จะต้องมีการปรับเพิ่มรายได้ ให้กับพนักงานทุกๆ คนเพื่อเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในภาคครัวเรือน

นอกจากนิปปอน สตีล แล้ว สมาพันธ์สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมพื้นฐานแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ เจบียู ซึ่งเป็นกลุ่มสหภาพแรงงานของอุตสาหกรรมต่อเรือและเหล็กกล้าของญี่ปุ่น ยังมีมติยื่นหนังสือต่อนายจ้างเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขอขึ้นเงินเดือนอย่างน้อย 1 % เช่นกันสำหรับปีการเงิน 2557 และ 2558  ส่วนสหภาพแรงงานของบริษัทอื่นๆ เช่น โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป. และฮิตาชิ มีแผนจะยื่นหนังสือขอขึ้นเงินเดือนภายในสัปดาห์นี้  เป็นที่คาดหมายว่าบริษัทนายจ้างจะนำเรื่องไปพิจารณาและให้คำตอบแก่สหภาพแรง งานภายในช่วงกลางเดือนมีนาคม

ข้อมูลของทางการ ญี่ปุ่นชี้ว่าในปี 2556 นับเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ค่าจ้างแรงงานในญี่ปุ่นหยุดปรับลดลงแต่ก็คงอยู่ในอัตราที่ต่ำจนเกือบจะทำลายสถิติที่เคยมีมา เงินเดือนเฉลี่ยคนงานอัตราพื้นฐานอยู่ที่เดือนละ 314,150 เยน หรือประมาณ 3.1 พันดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 9.92 หมื่นบาท) เป็นอัตราที่ลดลง 15% เมื่อเทียบกับปี 2550 แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการก่อสร้างซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการใช้งบที่สูงขึ้นของภาครัฐและการเร่งซื้อรถใหม่ของผู้บริโภคก่อนที่จะมีการปรับภาษีการขายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้ธุรกิจเอกชนของญี่ปุ่นจำนวนมากได้รับอานิสงส์และทำกำไรสูงขึ้น

ยกตัวอย่างนิปปอน สตีลฯ สามารถทำกำไรในช่วงไตรมาสเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2556 เพิ่มขึ้น 9 เท่า ข่าวระบุว่าการขึ้นเงินเดือน 1% ให้กับพนักงาน (ทั้งที่อยู่ในสหภาพและไม่อยู่ในสหภาพ) 83,187 คน จะทำให้บริษัทมีต้นทุนคงที่เพิ่มขึ้นประมาณ 3.5 พันล้านเยนหรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1.6% ของตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรสุทธิของทั้งกลุ่ม (ที่คาดไว้ 2.2 แสนล้านเยนในปีการเงินที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2557)

นายฮิโรชิ โทโมโนะ ประธานกลุ่มนิปปอน สตีล ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธ์เหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่าบริษัทชอบใช้วิธีตอบแทนพนักงานด้วยการให้เงินโบนัสที่ขึ้นหรือลงผกผันตามผล ประกอบการของบริษัทมากกว่า

สถิติของธนาคารกลางแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือบีโอเจ ชี้ว่าในระยะหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเอกชนญี่ปุ่นเลือกที่จะเก็บเงินสดไว้กับมือมากกว่าการลงทุนซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์หรือขึ้นเงินเดือนให้พนักงาน เนื่องจากโดยส่วนใหญ่ยังคงเห็นว่าเศรษฐกิจจะยังติดหล่มสภาวะเงินฝืดที่มีมา ยาวนานนับ 2 ทศวรรษ บีโอเจประมาณการว่า มูลค่าเงินสดในมือของผู้ประกอบการบริษัทเอกชนญี่ปุ่นรวมๆ กันอยู่ที่ระดับ 220 ล้านล้านเยน

จากความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจว่าจะสามารถขยายตัวอย่างยั่งยืนและการหันไปจ้างงานพนักงานชั่วคราวในอัตราค่าจ้างระดับต่ำเพิ่มมากขึ้น ทำให้มูลค่าการจ่ายเงินเดือนประจำพนักงานในญี่ปุ่นปรับลดลงเรื่อยๆ เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกันจนกระทั่งในปีที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งเชื่อว่าค่าจ้างแรงงานในญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปีนี้ เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทเอกชน  ตลาดแรงงานเริ่มขาดแคลนบุคลากร รวมทั้งปัจจัยหนุนจากนโยบายอาเบะโนมิคส์

"บางบริษัทก็ขึ้นค่าจ้างตอบสนองนโยบายของรัฐบาล และเมื่อมีบริษัทหนึ่งขึ้นค่าจ้างก็จะมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อบริษัทอื่นๆ ให้ขึ้นค่าจ้างแรงงานตามไปด้วย" นายโยชิกิ ชินเกะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส สถาบันวิจัยไดอิจิไลฟ์ให้ความเห็น แต่อีกหลายฝ่ายก็ยังเห็นต่าง โดยกล่าวว่าการขึ้นภาษีการขายในเดือนเมษายนนี้จะทำให้การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานเป็นไปได้อย่างยากลำบาก "เราจะคาดหวังให้บริษัทขึ้นเงินเดือนพนักงานได้อย่างไรเมื่อดูๆแล้วรายได้ของบริษัทอาจต้องลดลงหลังจากที่ภาษีการขายขยับสูงขึ้น" เป็นความเห็นของนายฮิโรมิชิ ชิราคาวะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเครดิต สวิส ในกรุงโตเกียว พร้อมทั้งแสดงความห่วงใยว่า ถ้าหากบริษัทเอกชนพยายามปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานท่ามกลางภาวะที่ทำกำไร ได้น้อยลง นั่นอาจหมายถึงผลเสียในอนาคตสะท้อนให้เห็นจากการปลดคนงานหรือหยุดรับการจ้าง งานใหม่

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,922 วันที่ 13 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557   

 

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.