ปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่พฤศจิกายน 2556 และยังไม่มีแนวโน้มจะเห็นบทจบจนถึงปัจจุบัน กำลังส่งผลให้ครึ่งปีแรกภาคธุรกิจได้รับผลกระทบเด่นชัดขึ้นเป็นลำดับ โดยยังไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยอะไรส่งสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ เพราะเครื่องจักรเศรษฐกิจทุกตัวเริ่มอ่อนแรงหรือเดินสะดุด เสี่ยงหยุดสนิทจากแนวโน้มที่ยังมืดมน อาทิ การส่งออก แม้ยังไม่เห็นผลที่ตามมาทันที แต่ก็ทำให้ภาคเอกชนเริ่มออกมาทบทวนแผนธุรกิจปีนี้กันแล้ว แม้แต่สภาผู้ขนส่งทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก ก็ออกมาทบทวนตัวเลขส่งออกไตรมาสแรก จากเป้าเดิมโต 5% ก็ปรับลดลงมาอยู่ที่ 3-4% ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าว่า ปีนี้ส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ไม่เกิน 5% ก็เป็นการคาดการณ์ที่ต่ำกว่าหน่วยงานอื่น ที่ยังให้ปีนี้ส่งออกน่าจะขยายตัวได้ 7-8% และตัวเลขเหล่านี้กำลังเผชิญความท้าทายว่าต้องปรับลดเป็นระลอกอีกเช่นปีที่ผ่านมาหรือไม่

ขณะที่ภาคท่องเที่ยวที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกตัวเดียวที่เติบโตในปีที่แล้ว แต่สุดท้ายก็ออกอาการแหยงวิกฤติการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อรับมือการชุมนุม "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ" เมื่อวันที่ 13 มกราคม และลากยาวถึงเวลานี้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติผวาพากันยกเลิกมาเมืองไทย ขณะที่โรงแรมดังในพื้นที่ชั้นใน กทม. มียอดขายห้องพักร่วงไปแล้วหลายเปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับที่ตลาดหุ้นไทยที่บรรดานักวิเคราะห์บอกว่ายังไม่ผ่านจุดที่เลวร้ายสุดและยังมีโอกาสเกิดความผันผวนสูง จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุแบบนี้ จนอาจทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวแรงได้
-เอฟดีไอ 200 โครงการจอดนิ่ง
นอกจากการส่งออก ภาคท่องเที่ยวและตลาดทุนจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) ก็เป็นอีกเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญ เพราะเชื่อมโยงการจ้างงาน และเกิดการขยายตัวในภาคการผลิต และยังขึ้นกับความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติต่อสถานะของประเทศไทยโดยตรง
วิกฤติการเมืองที่ยืดเยื้อครั้งนี้ ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนแล้ว ยิ่งเมื่อรัฐบาลตัดสินใจยุบสภาเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ส่งผลให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ไม่สามารถจัดประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนได้ต่อไป ส่งผลให้มีโครงการที่ค้างการพิจารณาให้การส่งเสริมจากบอร์ดบีโอไอ ตกค้างอยู่ราว 200 โครงการ มูลค่าคำขอรับการส่งเสริมกว่า 5 แสนล้านบาท ต้องชะงักลงทันที โดยเฉพาะโครงการลงทุน ด้านพลังงานทดแทน พลาสติก ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และกิจการบริการ ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ถึงปัจจุบันที่ยังค้างเติ่งอยู่ในเวลานี้
หากการเมืองยืดเยื้อนาน ย่อมสะท้อนถึงความเชื่อมั่นการลงทุนในสายตาต่างชาติและไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย สุดท้ายทุนต่างชาติอาจถอดใจ หันหัวเรือไปลงทุนในประเทศคู่แข่งอย่าง มาเลเซีย เวียดนามและอินโดนีเซียแทน
-บีโอไอวิ่งสู้ฟัดซอยย่อยให้ส่งเสริม
อุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอได้แสดงความกังวลต่อปัญหานี้ว่า หากไม่มีการประชุมบอร์ดบีโอไอเกิดขึ้นในเร็ววัน เกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อภาวะลงทุนในระยะยาวของประเทศที่อาจสะดุดลง เพราะขณะนี้นักลงทุนเริ่มทวงถามว่า โครงการที่ยื่นเสนอไปแล้วจะได้รับการอนุมัติเมื่อใด เพราะส่วนใหญ่มีเป้าหมายใช้ไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะเริ่มในปลายปี 2558 นี้ โดยคาดหวังว่าประชากรในเออีซีกว่า 600 ล้านคน จะเป็นศูนย์รวมกำลังซื้อที่น่าสนใจ และประเทศไทยก็เป็นยุทธศาสตร์สำคัญด้านการผลิต เพราะมีความพร้อมด้านระบบโลจิสติกส์ วัตถุดิบ และแรงงานที่มีทักษะ
แม้ว่าก่อนหน้านี้บีโอไอจะพยายามแก้ปัญหา โดยขอความเห็นไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ว่ารัฐบาลรักษาการมีอำนาจในการจัดประชุม หรือสามารถตั้งบอร์ดใหม่ขึ้นมาดำเนินการได้หรือไม่ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา หรือแม้แต่ความพยายามหาทางออกให้การลงทุนเดินหน้าต่อ โดยแนะนำให้ผู้ประกอบการ ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่าเกิน 200 ล้านบาท นำโครงการกลับไปจัดทำแผนการลงทุนใหม่ โดยซอยโครงการลดขนาดการลงทุน ให้แต่ละเฟสมูลค่าไม่เกิน 200 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สำนักงานบีโอไอ มีอำนาจพิจารณาให้การส่งเสริมได้ทันที แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ ที่นักลงทุนมองกันว่าจะซอยย่อยไม่รู้กี่เฟส จึงจะครบเต็มจำนวนเม็ดเงินที่ยื่นขอส่งเสริมไป ขณะที่บางโครงการจะต้องลงทุนในคราวเดียว
-เจโทรลั่นทุนใหม่เล็งไปอิเหนา
วัดกันตามกระแสการเมืองที่ยืดเยื้อเวลานี้ โอกาสที่กลุ่มทุน FDI จะทบทวนแหล่งลงทุนใหม่มีความเป็นไปได้มาก อาทิ จากท่าทีของตัวแทนทุนญี่ปุ่น เซ็ตซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร ในฐานะประธานคณะวิจัยเศรษฐกิจของหอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ ที่ออกมาประกาศผ่านสื่อเมื่อเร็วนี้ว่า "หากความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อ เราคงต้องประเมินสถานการณ์กันใหม่ ซึ่งต้องมาดูกันว่า ความรุนแรงหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น มีผลกระทบต่อการผลิตมากน้อยเพียงใด"
ส่วนบริษัทที่เป็นผู้ลงทุนรายใหม่ เมื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์การเมืองไทยเวลานี้ ก็อาจจะต้องพิจารณาประเทศอื่นประกอบด้วย และประเทศที่บริษัทญี่ปุ่นมองเป็นเป้าหมาย ในการพัฒนาหรือขยายธุรกิจนอกเหนือจากไทย คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และเมียนมาร์ ตามลำดับ
สอดคล้องกับที่บรรดาเจ้าของเขตประกอบการ ทั้งนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ที่มีพื้นที่ลงทุนอยู่ในจ.พระนครศรีอยุธยา และจ.ระยอง ต่างพูดในทิศทางเดียวกันว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติที่มีแผนเดินสายมาดูลู่ทางการลงทุน ในเขตประกอบการดังกล่าวจำนวนหลายราย มาขอยกเลิก โดยเลื่อนโปรแกรมออกไปอย่างไม่มีกำหนด
-เสน่ห์ลงทุนไทยหาย
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญวิกฤติมาหลายด้าน เริ่มจากรัฐประหารปี 2549 ต่อเนื่องถึงเหตุรุนแรง ปี 2553 กรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดง ปลายปี 2554 มีน้ำท่วมใหญ่ และปี 2556 มีการชุมนุมของกปปส. จากเหตุการณ์ต่อเนื่องเหล่านี้ มีส่วนกระทบถึงการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยเฉพาะปัญหาการเมือง ถ้ายืดเยื้อนาน 5-6 เดือน จะมีการลงทุน 2 กลุ่มที่ต้องตัดสินใจ คือ 1.กลุ่มที่ศึกษาลู่ทางการลงทุนและตัดสินใจลงทุนในไทยแล้ว ต้องกลับไปเดินแผนสอง ว่าจะรอต่อไปหรือจะไปลงทุนที่อื่น 2.เป็นทุนที่อยู่ระหว่างศึกษาลู่ทางลงทุนในอาเซียน ก็อาจตัดสินใจไปลงทุนที่อื่นได้ทันที

"ที่ผ่านมาทั้งไจก้าและเจโทร สำรวจความเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่นที่ลงทุนในเอเชีย ในแง่ประเทศไทยพบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนเป็นห่วงปัญหาการเมืองเป็นลำดับต้น ๆ และครั้งนี้ความน่าเป็นห่วงไปไกลกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา ทุนFDI มองว่าเสน่ห์การลงทุนในไทยหายไปหลายเรื่อง ทั้งค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้น ปัญหาอุทกภัย และวิกฤติการเมือง ส่วนการลงทุนในตลาดทุนเวลานี้บริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้งกำลังทบทวนอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ก็น่าจับตามอง "
ด้าน รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ย้ำว่าปีนี้การลงทุนจากต่างประเทศและการลงทุนจากในประเทศจะเกิดการชะลอตัวลงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะทุนทางตรงจากต่างประเทศที่ใช้แรงงานจำนวนมาก จะตัดสินใจออกไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการลงทุนที่ไม่ต้องขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ ก็เริ่มชะลอตัวแล้วในขณะนี้ ยกเว้นการลงทุนที่ใช้ทักษะ หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
เมื่อประเมินจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแล้ว ส่วนใหญ่ฟันธงชัดเจนว่าวิกฤติการเมืองฉุดภาพลักษณ์ประเทศไทย กระทบถึงฟันเฟืองหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เริ่มส่งสัญญาณ"แตะเบรก" ตั้งแต่ต้นปี ลามถึงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ที่ยังไม่รู้ลูกผีลูกคน ว่าจะเดินหน้าต่อหรือถอยสุดซอย เพื่อไปแสวงหาแหล่งลงทุนใหม่ ในท่ามกลางสมรภูมิการเมืองไทยที่เปราะบางแบบนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,923 วันที่ 16 - 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557