
บีโอไอหวั่นลงทุนชะงัก หลังบอร์ดใหญ่เดินหน้าต่อไม่ได้ ห่วงกว่า 200 โครงการมูลค่าเกือบ 5 แสนล้านบาทค้างเติ่งนาน แนะเอกชนรื้อแผนลงทุนใหม่แบ่งซอยย่อยให้โครงการมีมูลค่าไม่เกิน 200 ล้านบาท ให้สำนักงานฯพิจารณาอนุมัติ ขณะที่ส.อ.ท.มองประเทศเสียโอกาสดึงทุนนอกเข้ามา ค่ายรถยนต์ยังมั่นใจเดินหน้าอีโคคาร์เฟส 2
นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอเปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการชุมนุมทางการเมืองที่เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 เป็นต้นมา ทำให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบอร์ดบีโอไอที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ไม่สามารถจัดประชุมพิจารณาอนุมัติให้การส่งเสริมได้และจนถึงขณะนี้มีโครงการที่มีมูลค่าเกิน 200 ล้านบาทขึ้นไป ที่รอการพิจารณาขออนุมัติกว่า 200 โครงการ รวมมูลค่าเกือบ 5 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการในกลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งก๊าซธรรมชาติและพลังงานทดแทน พลาสติก อิเล็กทรอนิกส์ และกิจการบริการ เป็นต้น
"โครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมที่เข้าพิจารณาในบอร์ดใหญ่บีโอไอจะต้องมีโครงการลงทุนตั้งแต่ 750 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนโครงการลงทุนตั้งแต่ 200-750 ล้านบาท คณะอนุกรรมการพิจารณาส่งเสริมการลงทุนจะเป็นผู้อนุมัติ แต่เมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการทั้งบอร์ดใหญ่และคณะอนุกรรมการก็ไม่สามารถจัด ประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการได้ ส่วนโครงการไหนที่มีขนาดเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท ก็ให้สำนักงานบีโอไอเป็นผู้พิจารณาได้
ทั้งนี้หากไม่มีการประชุมบอร์ดบีโอไอเกิดขึ้นเกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อภาวะลงทุนในระยะยาวของประเทศ ที่อาจต้องสะดุดลง เนื่องจากนักลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมเข้ามา ก็เริ่มทวงถามว่าโครงการที่ยื่นเสนอไปแล้วจะได้รับการอนุมัติเมื่อใด ซึ่งที่ผ่านมาบีโอไอพยายามแก้ปัญหาในเรื่องนี้อยู่ โดยขอความเห็นไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ว่ารัฐบาลรักษาการมีอำนาจในการจัดประชุมหรือสามารถตั้งบอร์ดใหม่ขึ้นมา ดำเนินการได้หรือไม่ซึ่งก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมา เกรงว่าถ้ายืดเยื้อนานไปจะทำให้นักลงทุนเปลี่ยนใจหันไปลงทุนที่อื่นได้
อย่างไรก็ตามบีโอไอไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามที่จะทางออกเพื่อให้การลงทุนเดินหน้าต่อไปได้ โดยแนะนำให้ผู้ประกอบการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่าเกิน 200 ล้านบาท นำโครงการกลับไปจัดทำแผนการลงทุนใหม่หรือแบ่งซอยลดขนาดโครงการลงทุนลงมาไม่ให้เกินมูลค่า 200 ล้านบาท และนำกลับมาเสนอให้บีโอไอพิจารณาใหม่ เพื่อให้คณะทำงานพิจารณาโครงการที่มีตัวเองเป็นประธานสามารถอนุมัติการให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนได้
"ผู้ประกอบการต้องกลับไปดูว่าโครงการที่จะลงทุนนั้น สามารถแบ่งโครงการลงทุนออกเป็นเฟสๆ ได้หรือไม่ เพราะพบว่าบางโครงการสามารถซอยย่อยการดำเนินงานที่มีมูลค่าการลงทุนไม่ถึง 200 ล้านบาทก่อนได้ ในส่วนนี้ก็ให้ยื่นขอรับการส่งเสริมเข้ามาหรือหากบางโครงการมีมูลค่าเกินไปจาก 200 ล้านบาทไม่มาก ก็ลงทุนไปก่อนและสามารถขอขยายสิทธิประโยชน์ในภายหลังได้ แต่หากโครงการใดไม่สามารถแบ่งการลงทุนออกจากกันได้ก็จะต้องรอให้มีการประชุม บอร์ดบีโอไอก่อนจึงจะพิจารณาอนุมัติได้"
อย่างไรก็ตามบีโอไอจะประเมินสถานการณ์ทางการเมืองอีกครั้งในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ว่าจะเป็นอย่างไรและมีส่วนต่อการตัดสินใจของนักลงทุนหรือไม่ และถ้าปัญหาการเมืองคลี่คลาย สามารถตั้งบอร์ดบีโอไอประชุมได้ ก็เชื่อว่านักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นที่จะเดินหน้าลงทุนต่อไป
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัญหาที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้จะเป็นเรื่องของการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศหรือเอฟดีไอที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ราว 5 แสนล้านบาท มีทั้งการลงทุนขนาดกลางและขนาดใหญ่ ถ้าทุนกลุ่มนี้เข้ามาได้ก็จะช่วยทำให้เกิดงานก่อสร้างมีการสร้างโรงงานและเกิดการจ้างงาน พอเป็นรัฐบาลรักษาการทำให้การพิจารณาชะงัก เกรงว่าจะเสียโอกาสดึงทุนเข้ามา เพราะเมื่ออนุมัติให้ส่งเสริมแล้ว จะต้องใช้เวลาสร้างโรงงานนานเป็นปี
"ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมากต้องพิจารณาล่าช้า ออกไปติดต่อกันหลายเดือน อาจทำให้ทุนบางรายเปลี่ยนใจหันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทนได้ เนื่องจากทุนต่างชาติบางรายเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ ก็เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเปิดตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ที่มี ประชากรกว่า 600 ล้านคน"
ด้านนางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอาเซียน กล่าวว่า การลงทุนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในตอนนี้ ยังถือว่าเดินหน้าทั้งในส่วนของผู้ผลิตเดิม และหน้าใหม่ที่จะเข้ามา ยกตัวอย่าง ฮอนด้าสร้างโรงงานใหม่, อีซูซุ ก็เพิ่งเปิดโรงงาน, โตโยต้ามีแผนงานจะขยายกำลังการผลิตเพิ่ม
ส่วนความคืบหน้าของโครงการอีโคคาร์ เฟส 2 ก็มีการพูดคุยกับเลขาธิการบีโอไออย่างต่อเนื่อง คาดว่าโครงการจะไม่เลื่อนออกไป ในส่วนของข้อเสนอที่แบ่งการลงทุนเป็นเฟสต่างๆโดยใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 200 ล้านต่อเฟสนั้น ตรงจุดนี้ประเมินว่าไม่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงมากกว่า 1 พันล้านบาท ประกอบกับเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ต่างๆก็ต้องดูควบคู่กันไปด้วย เพราะหากเป็นเฟสย่อยแล้วสิทธิประโยชน์จะครอบคลุมเทียบเท่ากับโครงการใหญ่ๆหรือไม่ตรงจุดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ไม่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมยานยนต์
"อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมาก ดังจะเห็นจากการเกิดวิกฤติในช่วงหลายครั้งที่ผ่านมา แต่ก็สามารถผ่านมาได้ โดยปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เราประเมินว่าเป็นผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น ส่วนแผนขยายการลงทุนในตอนนี้แต่ละค่ายก็มีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,922 วันที่ 13 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557