สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ค้าไทย-อาเซียนถึงจุดเปลี่ยน
25/01/2014
ข่าวเศรษฐกิจ

ค้าไทย-อาเซียนถึงจุดเปลี่ยน เมียนมาร์พลิกแซงฟิลิปปินส์ ขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ขณะสิงคโปร์แซงอินโดฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 2 นักวิชาการชี้ผลพวงเศรษฐกิจเมียนมาร์กำลังขยายตัว ความต้องการสินค้าพื้นฐานพัฒนาประเทศพุ่งต่อเนื่อง ม.หอการค้าฯ ฟันธงค้าไทย-อาเซียนปี 57 โตระดับ 2 หลัก

http://www.thanonline.com/images/stories/article2014/2916/501.jpg
    แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาพรวมการค้าระหว่างไทยกับอาเซียน 9 ประเทศในปี 2556 ที่ผ่านมาว่า จากตัวเลข 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่าการค้า (ส่งออก+นำเข้า) รวม 2.81 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการค้ากับตลาดอาเซียนคิดเป็นสัดส่วน 21% มากที่สุดของการค้าในภาพรวมของไทยกับทั่วโลก ในตัวเลขดังกล่าวถือเป็นเรื่องน่าจับตามอง เมื่ออันดับคู่ค้าของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงถึง 2 อันดับ โดยสิงคโปร์ที่เป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในปี 2555 รองจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ช่วง 11 เดือนของปี 2556 สิงคโปร์ได้แซงอินโดนีเซียขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย ขณะที่เมียนมาร์คู่ค้าอันดับ 6 ของไทยในปี 2555 ได้แซงฟิลิปปินส์ขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 5 (ดูตารางประกอบ)
    ทั้งนี้ในสินค้านำเข้า 20 อันดับแรกที่ไทยส่งออกไปเมียนมาร์ มีตัวเลขขยายตัวเพิ่มขึ้นประกอบด้วย เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (มูลค่า  7.07 พันล้านบาท ขยายตัว 47% ) ปูนซีเมนต์ (มูลค่า 5.60 พันล้านบาท ขยายตัว 22% ) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (มูลค่า 5.43 พันล้านบาท ขยายตัว 59% ) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (มูลค่า 4.25 พันล้านบาท ขยายตัว 91% ) ผ้าผืน (มูลค่า 3.81 พันล้านบาท ขยายตัว 30% ) เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว (มูลค่า 3.40 พันล้านบาท ขยายตัว  19% ) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (มูลค่า 2.20 พันล้านบาท ขยายตัว52% ) และน้ำตาลทราย (มูลค่า  1.63 พันล้านบาท ขยายตัว 95% ) เป็นต้น
    ขณะที่ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หากพิจารณาสินค้าที่เมียนมาร์นำเข้าจากไทยข้างต้นถือเป็นการขยายตัวอย่างมี นัยสำคัญ โดยในสินค้ารถยนต์ในเมียนมาร์ขณะนี้มีอัตราการขยายตัวที่ก้าวกระโดดมาก โดยค่ายรถยนต์จากต่างประเทศแทบทุกยี่ห้อของโลกทั้ง ค่ายญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป และอเมริกาได้เข้าไปตั้งโชว์รูมกันถ้วนหน้า ขณะที่มีโรงงานผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น 2-3 บริษัทได้เข้าไปตั้งโรงงานผลิต และจะเริ่มผลิตได้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ไป
    "ช่วงที่โรงงานผลิตรถยนต์ในเมียนมาร์ยังไม่แล้วเสร็จ ขณะที่เศรษฐกิจของเขากำลังขยายตัว ประชาชนเริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น จึงมีความต้องการนำเข้ามาก โดยในส่วนของรถเก๋งนำเข้าจากญี่ปุ่น จีน และไทยตามลำดับ ส่วนรถบรรทุกนำเข้าจากจีนเป็นหลัก มอเตอร์ไซค์นำเข้าจากไทยเป็นหลัก ปัจจุบันมีรถทุกประเภทวิ่งอยู่ในเมียนมาร์ทั่วประเทศเกือบ 4 ล้านคัน  ในจำนวนนี้มากที่สุดคือ รถมอเตอร์ไซค์ รถเก๋ง และรถบรรทุกตามลำดับ"
    ส่วนน้ำตาลทราย ถือเป็นสินค้าจำเป็นต่อการอุปโภคบริโภค เมียนมาร์มีการนำเข้าจากไทยเพื่อใช้ในปรุง และประกอบอาหารตามบ้านเรือนทั่วไป โรงแรม ร้านอาหารต่างๆ  ปูนซีเมนต์ จากที่เมียนมาร์อยู่ระหว่างการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ มากมาย เพื่อรองรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และในปีที่ผ่านมาเมียนมาร์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ทำให้มีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เพื่อการก่อสร้างมาก ขณะที่ในส่วนของผ้าผืน ปัจจุบันในเมียนมาร์มีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ตั้งอยู่ใน 25 เขตอุตสาหกรรมของเมียนมาร์ แต่ยังไม่มีอุตสาหกรรมผ้าผืนต้นน้ำรองรับ จึงมีความต้องการนำเข้าจากไทยเพื่อไปตัดเย็บเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางภาษี ศุลกากร (จีเอสพี) ของเมียนมาร์ส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และแคนาดา
    "กรณีของสิงคโปร์ที่แซงอินโดนีเซียขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ผลพวงจากที่สิงคโปร์เป็นประเทศที่ทำธุรกิจการค้า (เทรดดิ้ง) นำเข้า-ส่งออกเป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนขยายตัวการค้าไทย-สิงคโปร์ก็ขยายตัวมาก ขึ้นด้วย สำหรับการค้าไทย-อาเซียนในภาพรวมปี 2557 คาดจะขยายตัวในตัวเลข 2 หลัก แต่ในตลาด CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามส่วนแบ่งไทยน่าจะลดลงจากที่มีสินค้าจากมาเลเซีย และสิงคโปร์ รวมถึงสินค้าจากจีนเข้าไปแย่งตลาด"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,916  วันที่  23 - 25  มกราคม  พ.ศ. 2557

 

 

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.