ปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นอีกปีหนึ่งที่ภาคอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับบททดสอบที่สำคัญ จากภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของโลก และการชะลอตัวของอุปสงค์หรือความต้องการซื้อในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะแรงขับเคลื่อนทั้งจากอุปสงค์ในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการส่งออกต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่การบริโภคภายในประเทศ ภาคครัวเรือนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นตามภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นที่ลดลง โดยเฉพาะเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงเดือนสุดท้ายของปี ได้ฉุดกำลังซื้อการบริโภคภายในประเทศเป็นอย่างมาก ขณะที่การส่งออกสินค้าลดลง เกิดจากการลดสั่งออร์เดอร์การผลิตลงจากความไม่มั่นใจว่าผู้ผลิตจะสามารถผลิตส่งมอบสินค้าได้
+++ไตรมาสแรกเอ็มพีไอโตแค่2.9%
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีเป็นต้นมา หากพิจารณาตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ) ของกรมสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) พบว่าขยายตัว 2.9% จากฐานที่ต่ำในไตรมาสแรกของปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการอยู่ในช่วงฟื้นฟูโรงงาน หลังเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออก 30-60% ที่ขยายตัวสูงถึง 26.6% ตามการขยายตัวของการผลิตรถยนต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 ที่ขยายตัวสูงถึง 47.4 %
ในขณะที่อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อตอบสนองตลาดในประเทศหรือมีสัดส่วนการส่งออกต่ำกว่า 30% เช่น ผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่ม เบียร์ บุหรี่ ผลิตภัณฑ์คอนกรีต อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมัน อาหารสัตว์ เยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ หดตัว 0.8% ตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายครัวเรือน
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 60% เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารทะเล หดตัว 5.4% สอดคล้องกับการส่งออกที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
+++สัญญาณกำลังผลิตหดตัว
หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเริ่มเห็นสัญญาณการติดลบหรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.9% จากที่ขยายตัวเป็นบวกในไตรมาสแรก แต่ก็ยังมีแรงขับเคลื่อนจากการผลิตรถยนต์ที่ขยายตัว 11.92% แต่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่า 60% ภาพรวมหดตัวลง 13.78% เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์หดตัว -17.79% อาหารทะเล -30.02% เสื้อผ้าสำเร็จรูป -7.15% เครื่องปรับอากาศ -3.86% และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตอบสนองตลาดในประเทศเป็นหลักหรือส่งออกต่ำกว่า 30% หดตัว 1.34 % เช่น การกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบ 11.86% ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ -21.14% อาหารสัตว์ -33.09 %
ทั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวในตลาดสำคัญทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปจีน ที่มีการนำเข้าสินค้าลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ อีกทั้งการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนด้วย รวมถึงการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในไตรมาส 2 ที่ชะลอตัวลงตามฐานการขยายตัวที่สูงขึ้นและการลดลงของแรงส่งจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก

+++
ตลาดในประเทศอิ่มตัวฉุดดัชนีดิ่งเหว เมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง ภาคอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์หรือความต้องการซื้อทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ติดลบหรือลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.56% เป็นผลจากการชะลอตัวของการผลิตรถยนต์เป็นหลัก หรือลดลงมาระดับ 11.02% รองลงมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่า 60% หดตัวลดลง 4.12% เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ – 1.30% อาหารทะเล -30.47% เครื่องใช้ไฟฟ้า 18.64% โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยตลาดในประเทศที่อิ่มตัวจากสินค้ารถยนต์ หลังมีการส่งมอบรถยนต์คันแรกไปหมดก่อนหน้านี้แล้ว
นอกจากนี้ยังมีการชะลอตัวเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน อาเซียน ทำให้การผลิตเพื่อส่งออกลดลงไป และปัญหาด้านอุปทาน ได้แก่ วัตถุดิบในการผลิตที่ประสบปัญหาที่กระทบต่อการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นการขาดวัตถุดิบจากกุ้งที่เป็นโรคตายด่วน และการขาดสภาพคล่องทางการเงินของผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่
ส่วนในช่วงไตรมาสที่ 4 นั้น มีการประเมินถึงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม คาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่จะหดตัวหรือติดลบต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 โดยมีปัจจัยมาจากฐานการคำนวณช่วงปลายปี 2555 สูงมาก จากการเร่งผลิตปลายปี เพื่อส่งมอบหลังจากประสบปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ภายใต้โครงการรถยนต์คันแรก รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกและการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัว ซึ่งหากประเมินจากปัจจัยที่กล่าวมา สศอ.คาดการณ์ว่าในปี 2556 นี้ เอ็มพีไอ จะหดตัวหรือติดลบที่ 2.8 % จากปี 2555 ที่ขยายตัว 2.2 % ขณะที่ตัวเลขจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ 0.2 % จากปี 2555 ที่ขยายตัว 6.9 %
+++
รายสาขาทรุดต่อเนื่อง หากมาพิจารณาภาวะภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ของปี 2556 จะพบว่า มีการขยายตัวเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณการส่งออกขยายตัว ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายในประเทศของปี 2556 ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลจากผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ได้ทยอยส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประมาณการว่าการผลิตรถยนต์ของปี 2556 จะอยู่ที่ 2.535 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 3.31 % แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศ 1.344 ล้านคัน ติดลบ 5.72 % และผลิตเพื่อส่งออก 1.131 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 10.55 %
ขณะที่ภาวะการผลิตภาพรวมของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีการปรับตัวลดลง 2 % เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวลดลง 2.6 % ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไอซี และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ทำให้ความต้องการคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก ลดลงอย่างมาก โดยผู้บริโภคหันมาใช้ Smart Phone และ Tablet แทน ส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีการปรับตัวลดลง 0.76 % โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่มีการปรับตัวลดลง จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีการชะลอตัวลงจากภาวะค่าใช้จ่ายของภาคครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ยกเว้นเครื่องปรับอากาศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมในประเทศและการส่งออกไปตลาดอาเซียนและสหภาพยุโรป

สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ปริมาณความต้องการบริโภคเหล็กของประเทศในปี 2556 ได้ขยายตัวที่ 9.94 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อยู่ในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นผลมาจากตลาดเหล็กในประเทศช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางทรงตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล บรรจุภัณฑ์ ที่มีสถานการณ์ทรงตัว ขณะที่สถานการณ์ตลาดเหล็กโลกมีทิศทางที่ถดถอย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ในปี 2556 มีการผลิตเส้นใยสิ่งทอ เพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้เพื่อผลิตในผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอื่นๆ ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดในอาเซียน ที่ส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งทอที่เป็นต้นน้ำ สำหรับกลุ่มผ้าผืน มีการผลิตลดลงเล็กน้อย -0.16 % เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการนำเข้าผ้าผืนราคาถูกจากจีน ส่งผลให้การผลิตผ้าผืนของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูป จะผลิตตามคำสั่งซื้อเป็นส่วนใหญ่ กว่า 25% เป็นออร์เดอร์จากสหภาพยุโรป ซึ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้คำสั่งซื้อในภาพรวมปรับตัวลดลงอย่างมากหรือติดลบที่ 1.26 %

อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตในภาพรวมของปี 2556 ได้ปรับตัวลดลงจากปีก่อน 0.4 % ขณะที่การส่งออกในภาพรวมลดลง 6.2 % เนื่องจากการผลิตในสินค้าสำคัญส่วนใหญ่ประสบปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน จากผลกระทบภัยธรรมชาติและการระบาดของโรค ประกอบกับสินค้าหลายชนิดได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศผู้นำเข้า เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปในช่วงครึ่งปีแรก ได้ลามไปยังเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบจากความผันผวนของระดับราคาสินค้าในตลาดโลก ซึ่งผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจและข่าวการแก้ไขวิกฤตการณ์การเงินและเศรษฐกิจของหลายประเทศในสหภาพยุโรป ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,909
วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 1 มกราคม พ.ศ. 2557