บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ การค้าชายแดน 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ... อีกหนึ่งความหวังของสินค้าส่งออกไทย ระบุว่า
- ประเด็นสำคัญ
ภาพรวมการส่งออกของไทยในรูปเงินบาทหดตัวลงถึงร้อยละ 2.98 ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2556 ตอกย้ำว่า เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางอ่อนแอ สอดคล้องกับการฟื้นตัวในกรอบจำกัดของอุปสงค์ในตลาดโลก - แม้ว่าตัวเลขการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจจะยังคงแผ่ว แต่ไทยยังมีแหล่งรายได้จากการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับ ไทย อย่างเมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งยังสามารถรักษาทิศทางการเติบโตไว้ได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 6.5 (ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้)
- ด้วยปัจจัยทั้งในระยะสั้นอย่างฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี การจัดกีฬาซีเกมส์ในเมียนมาร์ และปัจจัยในระยะยาว ซึ่ง 3 ประเทศเพื่อนบ้านล้วนเป็นดาวเด่นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีการลงทุนจากต่าง ชาติหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเป็น AEC ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า 3 ประเทศเพื่อนบ้านยังเป็นความหวังที่สำคัญต่อการส่งออกของไทยในช่วงอ่อนกำลัง ของเศรษฐกิจโลก
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า บทบาทของ 3 ประเทศเพื่อนบ้านต่อการส่งออกของไทยผ่านชายแดน ของ 3 ประเทศดังกล่าว จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในปี 2557 จากที่คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 6.6 ในปีนี้ ซึ่งเป็นภาพที่สดใสกว่าการส่งออกรวมของไทย (ในรูปเงินบาท) ที่คาดว่าในปีนี้จะหดตัวลงที่ประมาณร้อยละ 1.0
สถานการณ์การส่งออก (ระหว่างประเทศไทย-โลก) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2556 ที่หดตัวลงร้อยละ 0.02 ในรูปเงินดอลลาร์ฯ หรือร้อยละ 2.98 ในรูปเงินบาท สะท้อนภาพที่ค่อนข้างซบเซาของเครื่องยนต์หลักที่เป็นกลไกผลักดันการขยายตัว ของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าอาจทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็คงต้องยอมรับว่า ในขณะนี้ยังคงมีหลายอุปสรรคที่อาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งไม่ให้การฟื้นตัวของการ ส่งออกเกิดขึ้นภายในปีนี้ได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ดี การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย) ที่ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ช่วยผลักดันให้ไทยยังคงได้ดุลจากการค้าชายแดนจากประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 161,241 ล้านบาท ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2556 ซึ่งก็สะท้อนบทบาทของประเทศรอบบ้านของไทย ในฐานะที่เป็นตลาดศักยภาพสำหรับสินค้าส่งออกอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำแพงภาษีระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มนี้ จะลดน้อยลงในช่วงที่เปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558

การค้าชายแดน 3 ประเทศเพื่อนบ้าน “เมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา” มีบทบาทเพิ่มมากขึ้น
ไทยมีพรมแดนเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งเอื้อต่อการทำธุรกรรมการค้าบริเวณชายแดนกันมาเป็นเวลานาน โดยการส่งออกผ่านชายแดนไปยังทั้ง 4 ประเทศ มีมูลค่าสูงถึงประมาณร้อยละ 75.2 ของการค้าโดยรวมระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน โดยแรกเริ่มนั้น ประเทศเมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวและกำลังซื้อของประชาชนอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก นักเมื่อเทียบกับมาเลเซีย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทย ดังนั้น การส่งออกผ่านชายแดนไทยไปยังมาเลเซียจึงมีสัดส่วนที่สูงกว่าครึ่งหนึ่งของ มูลค่าการส่งออกผ่านชายแดนทั้งหมด
อย่างไรก็ดี สัดส่วนการส่งออกผ่านชายแดนของไทยไปยังมาเลเซียลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 65.9 ในปี 2554 มาอยู่ที่ร้อยละ 51.7 ของการส่งออกผ่านชายแดนโดยรวมของไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2556 โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเศรษฐกิจมาเลเซียก็อยู่ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจาก ความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว เป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับทิศทางการค้าชายแดนระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่ทยอยมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกผ่านแดนของไทยกับเมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชาที่ขยับขึ้นประมาณร้อยละ 3.7-6.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 14.1 ร้อยละ 19.2 และร้อยละ 15.0 ต่อการส่งออกผ่านชายแดนทั้งหมดของไทย
สำหรับสถานการณ์การส่งออกผ่านชายแดนของไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2556 ยังคงมีภาพคล้ายคลึงกับในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกผ่านชายแดนในภาพรวมหดตัวลงร้อยละ 1.1 (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน นำโดย การหดตัวของการส่งออกผ่านชายแดนไทย-มาเลเซีย (-7.4% YoY) เนื่องจากสินค้าส่งออกสำคัญกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มที่พึ่งพาสัญญาณการฟื้นตัว ที่ชัดเจนของเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก (อาทิ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ คอมพิวเตอร์/อุปกรณ์/ส่วนประกอบ และรถยนต์/อุปกรณ์/ส่วนประกอบ เป็นต้น) แต่กระนั้น หากพิจารณาการส่งออกผ่านชายแดนที่ไม่นับรวมมาเลเซีย จะพบว่า การส่งออกผ่านชายแดนของไทยไปยังเมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา สามารถรักษาทิศทางการขยายตัวไว้ได้อย่างต่อเนื่อง (+6.5% YoY)
โดยสินค้าส่งออกไทยที่ยังสามารถไปได้ดีในแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา สามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าทุน และยานยนต์ ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มนี้
สำหรับเมียนมาร์นั้น ในขณะนี้นับว่าเป็นดาวเด่นของประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรอบด้านโดยมีแรงกระตุ้นสำคัญคือ โครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาลเมียนมาร์ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการจัดกีฬาซีเกมส์ที่ทำให้เมียนมาร์จัดเตรียมความพร้อมของระบบ สาธารณูปโภคพื้นฐาน ตลอดจนสถานที่พักและแหล่งท่องเที่ยวซึ่งทั้ง 2 ส่วนจะเป็นแรงผลักดันที่ส่งเสริมการพัฒนาของเมียนมาร์ในระยะต่อไป ประเด็นดังกล่าวจึงสะท้อนอนาคตอันสดใสของการส่งออกสินค้าไทยไปยังเมียนมาร์ อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าทุน
ในขณะที่ สปป.ลาวก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามองด้วย เช่นกัน จากเงินลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง ต่อเนื่อง จึงทำให้การส่งออกสินค้าทุนของไทยไปยังสปป.ลาวมีโอกาสมากขึ้น นอกเหนือไปจากการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค
ทิศทางการค้าชายแดนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยหนุนภาพรวมของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศแล้ว ยังช่วยเอื้อโอกาสต่อการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในบริเวณจังหวัดใกล้ เคียงด่านการค้าไปด้วยพร้อมกัน โดยในส่วนของการค้าชายแดนกับเมียนมาร์นั้น จะมีจังหวัดตาก (อยู่ในอาณาเขตเศรษฐกิจของภาคเหนือ) เป็นด่านการค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังเมียนมาร์มากที่สุด
สำหรับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น จะมีจังหวัดหนองคายและมุกดาหาร เป็นชัยภูมิสำคัญของการเป็นเมืองหน้าด่านการส่งออกไปสปป.ลาว ในขณะที่ จังหวัดสระแก้วและตราดมีบทบาทเป็นเมืองหน้าด่านของภาคตะวันออกของไทยในการ ติดต่อการค้ากับกัมพูชา ส่วนทางภาคใต้ มีจังหวัดสงขลาเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ ที่ครองสัดส่วนการส่งออกผ่านชายแดนไทยกับมาเลเซียถึงเกือบร้อยละ 98 ของภาพรวมทุกด่าน
แนวโน้มการค้าชายแดนของไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า เส้นทางการฟื้นตัวที่ล่าช้าของการส่งออกของไทยไปตลาดโลกนับจากต้นปี น่าจะทำให้การส่งออกในรูปเงินบาทในปี 2556 หดตัวลงประมาณร้อยละ 1.0 ขณะที่การส่งออกผ่านชายแดนไปยัง 4 ประเทศเพื่อนบ้าน(ซึ่งมีมาเลเซียเป็นแหล่งรายได้หลัก)ก็มีภาพที่ซบเซาลงเช่น กัน โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกผ่านชายแดนของไทยในปีนี้อาจหดตัวลงที่ร้อยละ 3 ตามการฉุดรั้งของการส่งออกไปมาเลเซีย อย่างไรก็ดี หากไม่นับรวมมาเลเซียแล้วการส่งออกผ่านชายแดนของไทยไปยัง 3 ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมาร์ สปป.ลาวและกัมพูชายังคงขยายตัว จากสีสันของการจัดมหกรรมกีฬาซีเกมส์ในเมียนมาร์ และการท่องเที่ยวตามพรมแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นกิจกรรมที่หนุน การค้าชายแดนน่าจะมีความคึกคักมากขึ้นในช่วงปลายปี
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า หากไม่นับรวมการส่งออกผ่านแดนไทย-มาเลเซียที่ค่อนข้างซบเซาแล้ว การส่งออกผ่านชายแดนไทย-เมียนมาร์ สปป.ลาว และกัมพูชา ในปีนี้อาจขยายตัวร้อยละ 6.6 (จากที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 6.5 ในช่วง 10 เดือนแรกของปี)
สำหรับในปี 2557 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกจากการค้าชายแดนของไทยกับทั้ง 3 ประเทศเพื่อนบ้าน คือ เมียนมาร์ สปป.ลาวและกัมพูชา จะสามารถกลับมาขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 (และมีโอกาสขยายตัวที่ร้อยละ 5.9 หากนับรวมการส่งออกผ่านชายแดนไปยังมาเลเซีย) โดยอานิสงส์ของการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก น่าจะช่วยให้บรรยากาศการทำการค้าของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านฟื้นตัวกลับมาดี ขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ แนวโน้มการลงทุนของประเทศเพื่อนบ้านที่ยังน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมียนมาร์ และสปป.ลาว น่าจะช่วยหนุนการส่งออกสินค้ากลุ่มเครื่องจักร/สินค้าทุน และวัสดุก่อสร้าง ควบคู่ไปกับการทำตลาดของสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ สินค้าเครื่องดื่มทั้งชนิดมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ อาหารสำเร็จรูป เครื่องสำอาง สบู่ โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดจนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ พื้นที่ที่เป็นพรมแดนสำคัญในการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีความคึกคักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น นำโดย พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดหนองคายและมุกดาหาร ซึ่งเป็นด่านค้าชายแดนกับสปป.ลาว พื้นที่จังหวัดภาคเหนือซึ่งทำการค้ากับเมียนมาร์ ได้แก่ จังหวัดตาก และพื้นที่ภาคตะวันออกซึ่งทำการค้ากับกัมพูชาได้แก่ จังหวัดสระแก้วและตราด โดยกิจกรรมการค้าชายแดนที่มีความคึกคักมากขึ้นจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของ ชุมชนและเชื่อมต่อระบบคมนาคมขนส่งที่มากขึ้น สำหรับพื้นที่ในภาคใต้นั้น จังหวัดสำคัญในการเป็นเมืองหน้าด่านค้าชายแดนกับมาเลเซีย คือ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหัวเมืองหลักและมีศักยภาพในการเติบโตอยู่แล้วหากสถานการณ์ในพื้นที่ มีความสงบเรียบร้อย
ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ไทยยังคงต้องใช้เวลาพัฒนาศักยภาพในการผลิตเพื่อแข่งขันกับตลาด โลกในยุคที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายๆ ประเทศทยอยก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งกับสินค้าส่งออกของไทย การค้าชายแดนจึงเป็นพื้นที่ทางการตลาดที่ยังคงเปิดกว้างและพร้อมที่จะเป็น แหล่งรายได้สำรองที่ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมเท่า นั้น แต่ยังสร้างโอกาสในการพัฒนาให้กับจังหวัด ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญในอนาคตอีกด้วย