ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดจีดีพีปี 57 โต 5-6% หากรัฐบาลใหม่ปฏิบัติหน้าที่ในครึ่งปีแรกได้ประเมินความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อ ฉุดจีดีพีโตไม่เกิน 2%...
นายเชาวน์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2557 ว่า ปัจจัยทางการเมืองเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีหน้า เนื่องจากปัจจัยจากต่างประเทศยังเป็นตัวแปรรองที่จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น ซึ่งข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของเอเชียและยุโรปออกมาดีและฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ขณะที่ภาคการส่งออกจะเป็นตัวกระตุ้นหลักที่จะดันเศรษฐกิจในปีหน้าให้โตยิ่งขึ้น แต่ภาคการส่งออกที่ยังต้องพึ่งพาแรงซื้อในประเทศอาจจะมีปัญหาการเมืองยังไม่นิ่ง
ด้านนางพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่าการส่งออกในปี 2557 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ตรงข้ามกับเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีความเสี่ยงเชิงลบเพิ่มขึ้น และทิศทางการเมืองในระยะข้างหน้ายังคงเป็นตัวแปรสำคัญอย่างยิ่งต่อความเชื่อ มั่นของภาคเอกชน ในด้านการบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมทั้งยังมีผลต่อการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุน หากมีรัฐบาลใหม่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในครึ่งปีแรก รวมทั้งสามารถฟื้นความเชื่อมั่นและผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ในกรณีนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจครึ่งปีแรก อาจเติบโตต่ำกว่า 3% แต่มีโอกาสฟื้นกลับขึ้นมาเติบโตมากกว่า 5-6% ในครึ่งปีหลัง แต่ถ้าหากว่าความขัดแย้งทางการเมืองมีความยืดเยื้อต่อไปอีก ก็มีความเป็นไปได้ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2557 อาจเติบโตต่ำกว่าปี 2556 โดยครึ่งปีแรกอาจขยายตัวไม่ถึง 2%
น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจจุลภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจจุลภาค กล่าวว่า การส่งออกจะเป็นแรงส่งเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 2557 โดยคาดว่า อัตราการขยายตัวของการส่งออกไทยในปี 2557 อยู่ที่ 5.0-9.0% ขณะที่มีค่ากลาง 7% โดยมีเหตุผลหลัก 4 ด้าน คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก ทั้งสหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป และอาเซียน อุตสาหกรรมบางกลุ่มมีแผนขยายกำลังการผลิตเพื่อส่งออก การทยอยคลี่คลายของปัจจัยเฉพาะที่กดดันสินค้าบางรายการในปี 2556 และทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์การเกษตรส่วนใหญ่ น่าจะไม่ทรุดตัวลงมาก
ส่วนแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการนั้น ควรจะเน้นพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินการธุรกิจ สร้างการรับรู้ในแบรนด์หรือตราสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงิน และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้า ขยายฐานการค้า การผลิตตามความเหมาะสม และใช้สิทธิประโยชน์จากการเปิดเสรี อีกทั้งยังควรที่จะรวมกลุ่มกันเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรม สร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นทางธุรกิจ