สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

กลุ่มประเทศ จี-20 ให้เวลาธนาคารเงาถึงปี 2015 ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
08/09/2013
ข่าวเศรษฐกิจ

  ภาค "ธนาคารเงา" ซึ่งมีมูลค่า 60 ล้านล้านดอลลาร์จะมีเวลาจนถึงปี   2015 ในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ระดับโลกชุดแรกอย่างเต็มที่ หลังจาก คณะกรรมการด้านเสถียรภาพทางการเงิน (FSB) ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ เปิดเผยแผนการในการควบคุม ความเสี่ยงในภาคธนาคารดังกล่าว โดยไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจ                 

ผู้นำกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา 19 ประเทศ รวมทั้ง สหภาพยุโรป (จี-20) จะประชุมกันที่รัสเซียเพื่ออนุมัติกฎระเบียบที่ร่างโดย FSB โดยกฎดังกล่าวจะบรรจุเงื่อนไขสำหรับภาคธนาคารเงา และแนวทางการกำกับดูแลภาคธนาคารดังกล่าว  FSB จะรายงานความคืบหน้าให้จี-20 รับทราบในปีหน้า โดยจะมี การตรวจสอบเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปีหน้า                 

  ภาคธนาคารเงาประกอบด้วยกิจการหลากหลายประเภทที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน และยังคงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อระบบที่อาจสร้างความเสียหายต่อผู้เสียภาษี โดยวิกฤติการเงินในปี 2007-2009 ได้ แสดงให้เห็นถึงปัญหาในภาคธนาคารเงา และปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องจนทำให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่งจำเป็นต้องขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล                 

การปฏิรูปในครั้งนี้รวมถึงการที่ผู้กำกับดูแลรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียด ในส่วนต่างๆของภาคธนาคารเงาเพื่อจะได้ระบุถึงปัจจัยเสี่ยงในวงกว้าง ผู้ควบคุมกฎระเบียบในแต่ละประเทศจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการควบคุมภาคธนาคารเงา โดยเครื่องมือดังกล่าวรวมถึงความสามารถในการกำหนดเงื่อนไขด้านเงินกองทุนและสภาพคล่อง และการกำหนดเพดานเงินสดที่ลูกค้าสามารถถอนได้เป็นการชั่วคราว เพื่อที่จะไม่เกิดภาวะขาดแคลนเงินทุนในตลาดเงินเหมือนในช่วงที่เกิดวิกฤติในสหรัฐ                 

กฎเกณฑ์เหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมภาคธนาคารเงาไม่ให้ทำธุรกิจ แบบเสี่ยงสูงเกินไป โดยกิจการประเภทนี้จัดหาสินเชื่อให้แก่ภาคการเงิน แต่แตกต่างจากธนาคารในแง่ที่ว่า กิจการเหล่านี้ไม่มีช่องทางขอรับความช่วยเหลือจากธนาคารกลาง และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการคุ้มครอง เช่น มาตรการค้ำประกันหนี้สินและมาตรการรับประกันเงินฝาก                 

FSB พยายามสร้างความสมดุลให้แก่ข้อเสนอของตนเอง เพื่อที่จะได้ ไม่สร้างความเสียหายต่อภาคธนาคารเงา ซึ่งเป็นภาคที่มีบทบาทสำคัญในการจัดสรรเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ  สหภาพยุโรป (อียู) จะเปิดเผยแผนโรดแมพ ของตนเองในสัปดาห์หน้า และส่งสัญญาณบ่งชี้ว่า อียูอาจออกกฎที่เข้มงวดกว่าของจี-20 โดยอียูจะออกกฎบังคับภาคธนาคารเงาในเรื่องการดำรงเงินกองทุนด้วย                 

รัฐบาลหลายประเทศได้บังคับให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ดำรงเงินกองทุน มากยิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาโดยนายมาร์ค คาร์นีย์ ประธาน FSB กล่าวว่า  มาตรการปฏิรูปล่าสุดนี้เป็นขั้นตอนแรกที่จำเป็นต้องทำเพื่อแปลงธนาคารเงา ให้กลายเป็นผู้จัดหาเงินทุนอย่างแข็งแกร่งโดยอิงกับตลาด                 

นายคาร์นีย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)  อีกตำแหน่ง กล่าวว่า "มาตรการนี้จะช่วยกระจายแหล่งที่มาของเงินทุนในระบบเศรษฐกิจของเราในแนวทางที่ยั่งยืน และส่งเสริมเป้าหมายหลักของกลุ่มจี-20 ในการทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง, ยั่งยืน และสมดุล"                 

นายแดเนียล ทารุลโล ซึ่งเป็นสมาชิก FSB และเป็นผู้ว่าการคนหนึ่งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า กฎเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะว่าการคุมเข้มธนาคารพาณิชย์มากเกินไปอาจเป็นการกระตุ้นให้การดำเนินงาน ที่มีความเสี่ยงสูงย้ายไปอยู่ในภาคธุรกิจที่ได้รับการควบคุมน้อยกว่า                

FSB ระบุว่าจุดสนใจสำคัญมุ่งไปที่การระบุว่าสิ่งใดถือเป็นกิจกรรมของธนาคารเงา แต่ไม่ได้มุ่งไปที่ธุรกิจแต่ละแห่งอย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งวิธีการแบบนี้แตกต่างไปจากแนวทางที่ใช้ในการควบคุมธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และบริษัทประกัน                 

ที่ประชุมสุดยอดของกลุ่มจี-20 ในครั้งนี้จะอนุมัติการคุมเข้มกฎระเบียบสำหรับบริษัทประกัน 9 แห่งด้วยหลังจากกลุ่มจี-20 ได้ทำเช่นนี้กับธนาคาร ขนาดใหญ่เกือบ 30 แห่ง อย่างไรก็ดี กลุ่มจี-20 ยังไม่ได้จัดทำรายชื่อธนาคารเงาที่ตกเป็นเป้าหมาย                

 กิจกรรมธนาคารเงาที่ตกเป็นเป้าหมายในครั้งนี้รวมถึงกองทุนการลงทุน ในสินเชื่อ, กองทุน ETF, เฮดจ์ฟันด์สินเชื่อ, กองทุนร่วมทุนเอกชน, บริษัทโบรกเกอร์-ดีลเลอร์หลักทรัพย์, บริษัทประกันสินเชื่อ, บริษัท แปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ และบริษัทการเงิน             จะมีการออกกฎจำกัดความสามารถของโบรกเกอร์ในการนำสินทรัพย์ ของลูกค้ามาใช้ในการทำธุรกรรมอื่นๆ โดยกฎนี้เป็นบทเรียนที่ได้รับจากการล้มละลายของบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส เพราะการล้มละลายในครั้งนั้น ก่อให้เกิดปัญหาตามมาว่าผู้ใดถือครองสินทรัพย์รายการใดบ้าง                

ถึงแม้ FSB เสนอวิธีการที่ไม่เข้มงวดในการกำกับดูแลธนาคารเงา แต่มาตรการปฏิรูปนี้ก็จะสร้างความไม่พอใจให้แก่ธนาคารเงาบางแห่งอย่าง แน่นอน                

FSB ตัดสินใจเดินหน้าแผนการกำหนด haircut เป็นครั้งแรก ของโลก โดยมาตรการนี้เป็นการปรับลดมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมในขั้นต่ำ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่ธนาคารเงารับมาเพื่อค้ำประกันการปล่อยกู้หลักทรัพย์และการทำรีโป เป้าหมายของการออกกฎนี้คือการรับประกันว่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน การกู้ยืมดังกล่าวจะเป็นกันชนที่มีขนาดใหญ่พอ ถ้าหากมูลค่าในตลาดดิ่งลง  โดยอัตรา haircut นี้อาจได้รับการกำหนดให้อยู่ในระดับราว 0.5- 7.5 % ทั้งนี้ การทำรีโป (ซื้อคืนพันธบัตร) คือการที่ลูกหนี้ขายหลักทรัพย์ ให้แก่เจ้าหนี้ในฐานะหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมและตกลงที่จะเข้าซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวคืนในภายหลังตามราคาและกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้                   สมาคมการปล่อยกู้หลักทรัพย์ระหว่างประเทศ (ISLA)  และบริษัท แบล็คร็อคคัดค้านกฎนี้ โดยให้เหตุผลว่าอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการซื้อขายในตลาดในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องมีการระดมทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ                 

FSB รับฟังคำเตือนในเรื่องนี้ และได้นำกฎ haircut นี้เข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือ โดยจะยังไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ขั้นสุดท้ายจนกว่าจะถึงปีหน้า                

FSB ระบุว่าพันธบัตรรัฐบาลจะได้รับการยกเว้นจากการทำ haircut  อย่างไรก็ดี ธุรกิจธนาคารเงาระบุว่ากฎใหม่นี้จะยังคงก่อให้เกิดปัญหาอยู่ดี                 

นายก็อดฟรีด เดอ วิดส์ ประธานคณะกรรมการรีโปยุโรปกล่าวว่า   "กฎนี้ไม่ส่งผลดีต่อการจัดสรรเงินทุนให้แก่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เพราะหุ้นกู้เอกชนจะยังคงต้องทำ haircut ดังนั้นกฎนี้จึงเป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่การระดมทุนในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีในเวลานี้"                

FSB ระบุว่า การนำกฎมาใช้จะยังไม่เริ่มต้นจนกว่าตลาดจะมีสภาพเหมาะสม และทางการกับภาคธนาคารเงามีเวลามากพอในการปรับระบบของตนเอง                 

ผู้ควบคุมกฎระเบียบกำลังจัดทำมาตรการใหม่เพื่อจำกัดความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารพาณิชย์ทั่วไปกับธนาคารเงาด้วย อย่างไรก็ดี FSB ยังไม่ได้กำหนดเวลาในการประกาศมาตรการนี้       

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.