นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด)?กล่าวปาฐกถาในงานไทยแลนด์ โฟกัส 2013 ว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ย่อมมีผลกระทบต่อตลาดการเงิน และตลาดทุนแน่นอนแต่เพียงแค่ระยะสั้นเพราะที่ผ่านมา เอเชียพึ่งพาสภาพคล่องจากมาตรการ QE ของสหรัฐที่ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนเกรงจะเกิดปัญหาฟองสบู่ในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น ทำให้เกิดภาพว่าราคาหุ้นในเอเชียปรับขึ้นสูงมาก
ทั้งที่ความจริงแล้วการปรับขึ้นของราคาสินทรัพย์ในเอเชียประมาณ 80% มาจากสภาพคล่องที่ไหลเข้ามา มีเพียง 20% เท่านั้นที่เกิดจากประสิทธิภาพการผลิต จึงควรมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สหรัฐจะถอน QE เงินทุนจะไหลกลับ ทำให้เอเชีย รวมทั้งไทยมองเห็นภาพพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง เพื่อจะมีการปรับตัวในด้านกำลังการผลิต การศึกษา การคมนาคมขนส่ง กฎระเบียบพิธีการศุลกากร การวิจัยและพัฒนาฝีมือแรงงาน และสร้างธรรมาภิบาลที่ดี รวมทั้งมีการบริหารจัดการที่ถูกต้อง เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศที่แข็งแกร่งมากขึ้น ดังนั้นอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอาจจะลดลงบ้าง แต่จะแข็งแรงขึ้นในระยะยาว
“เราอย่าไปหลงว่าตลาดหุ้นไทยโต เพราะมันเกิดจากสภาพคล่องที่ล้นจากมาตรการ QE?ดังนั้นเมื่อสหรัฐจะเลิก QE เงินก็จะไหลกลับ?เหมือนกับคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน แล้วอ้วนมากแต่เมื่อบริโภคน้อยลงร่างกายผอมลง แต่ก็จะแข็งแรงขึ้น” นายศุภชัย กล่าว
แม้ขณะนี้เงินทุนทางต่างชาติจะไหลออกจากประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาความเปราะบางให้กับเศรษฐกิจไทย เพราะมีเพียงบางภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ขีดความสามารถภาคการส่งออกของไทยยังปรับตัวดี แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะรัฐบาลต้องลงทุนเพิ่ม โดยเป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น นำร่องให้เอกชนลงทุนตาม จึงจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างยั่งยืน และจะไม่ส่งผลเสียต่อหนี้สาธารณะ แม้ว่าอัตราหนี้สาธารณะจะสูงขึ้นเกิน 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) เพราะเป็นการลงทุนที่สร้างรายได้ทำให้เกิดการจ้างงานและผลตอบแทนเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่ใช่เป็นการลงทุนทางด้านวัตถุเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ไทยควรลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศจีน เพราะจีนกำลังปรับสมดุลเศรษฐกิจด้วยการลดการเกินดุลการค้าที่มาจากภาคการส่งออกมาเน้นการบริโภคภายในประเทศ
ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของจีนเกินดุลลดลงจาก 9% ของจีดีพี เหลือ 2% ของจีดีพีดังนั้นจึงส่งผลกระทบต่อประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาการส่งออกไปจีน รวมทั้งไทยดังนั้นเราควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยการขยายห่วงโซ่การผลิตที่เน้นการบริโภคในประเทศมากขึ้น