นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะ ที่ทำมูลค่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 31% ในปีนี้ ยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ผู้บริหารของบริษัทเอกชนเพิ่มการลงทุนในด้านโรงงานและอุปกรณ์การผลิต
ผลการสำรวจล่าสุดโดยกระทรวงการคลังญี่ปุ่นพบว่า การใช้จ่ายสำหรับลงทุน (ยกเว้นด้านซอฟต์แวร์) ของบริษัทในญี่ปุ่นในช่วงไตรมาสแรกของปี ซึ่งเป็นไตรมาสแรกภายใต้รัฐบาลนายชินโซะ อาเบะ ลดลง 5.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการใช้จ่ายของบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศลดลง 4.9% ในช่วงไตรมาสดังกล่าว นับเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสหลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนมีนาคม 2554
การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างมากของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวลง 17% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม ช่วยให้ผู้ส่งออกมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในช่วงต้นปี แต่กระนั้นการลงทุนที่อ่อนแอก็ทำให้นโยบายขั้นที่ 3 ของนายอาเบะที่เน้นไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังจะเปิดเผยในเร็วๆ นี้ เป็นที่จับตามองมากยิ่งขึ้นว่าจะช่วยเหลือบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นได้มากน้อยเพียงใด
นายฮิโรชิ ชิราอิชิ นักเศรษฐศาสตร์จากบีเอ็นพี พาริบาส์ ในกรุงโตเกียว ให้ความเห็นว่า "การจะทำให้บริษัทต้องการลงทุน จำเป็นต้องมีมากกว่ามาตรการกระตุ้นทางการเงินและการคลัง พวกเขาต้องการการปฏิรูปที่แท้จริง"
บลูมเบิร์กอาศัยตัวเลขคาดการณ์กำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์นิกเกอิ 178 แห่ง ประเมินว่าบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นจะทำกำไรจากการดำเนินการรวมกันได้ 19.7 ล้านล้านเยนในปีงบประมาณปัจจุบัน เป็นตัวเลขที่สูงกว่ากำไร 14.6 ล้านล้านเยน ที่บริษัทเหล่านี้รายงานในช่วง 12 เดือนจนถึงเดือนมีนาคม 2555 ถึงกว่า 30% ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ค่าเงินเยนแข็งค่าที่สุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
นายโคเฮอิ โอกาซากิ นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระ ซีเคียวริตีส์ เชื่อว่า บริษัทเอกชนอาจจะเพิ่มการลงทุนด้านอุปกรณ์และสินค้าในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่มิตสึมารุ คุมากาอิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยไดวา กล่าวว่า การใช้จ่ายเงินเพื่อเปลี่ยนหรือปรับปรุงอุปกรณ์ของภาคธุรกิจอาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจของนายอาเบะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว โดยบริษัทญี่ปุ่นจะต้องเพิ่มเงินทุนและเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต้น จึงจะถือว่าแผนการของนายอาเบะประสบความสำเร็จ
จากผลการสำรวจของกระทรวงการคลัง บริษัทที่มีเงินทุนสูงกว่า 1 พันล้านเยน ใช้จ่ายในเรื่องโรงงานและอุปกรณ์ลดลง 4.9% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ขณะที่บริษัทที่มีเงินทุนระหว่าง 10-100 ล้านเยนลงทุนลดลง 2.7%
โทชิฮิโร นากาฮามะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยไดอิจิ ไลฟ์ กล่าวว่า บริษัทญี่ปุ่นจะนำกำไรที่เพิ่มขึ้นไปใช้จ่ายอย่างไรนั้น นับเป็นส่วนสำคัญที่จะตัดสินว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้หรือไม่ "ความเสี่ยงคือบางบริษัทอาจจะเลือกนำกำไรที่ได้จากในต่างประเทศไปลงทุนในต่างประเทศเช่นเดิม เนื่องจากเกรงว่าค่าเงินเยนจะแข็งขึ้นในอนาคต" ผลสำรวจโดยหนังสือพิมพ์นิกเกอิ พบว่า การลงทุนในต่างประเทศของบริษัทผู้ผลิตจากญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้น 20% ในปีนี้เป็น 2.7 ล้านล้านเยน โดยการลงทุนของผู้ผลิตญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐฯ เพียงแห่งเดียวจะเพิ่มขึ้น 30% เป็น 4.4 แสนล้านเยน
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกบริษัทที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายของนายอาเบะ บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่นยังคงประสบปัญหาจากการแข่งขันของบริษัทต่างชาติ และยังไม่สามารถทำกำไรได้แม้ว่าเงินเยนจะอ่อนลงก็ตาม ปีที่ผ่านมาโซนี่รายงานผลกำไรเป็นปีแรกในรอบ 5 ปีจากการลดจำนวนพนักงาน ขายสินทรัพย์ และกำไรจากธุรกิจภาพยนตร์ แต่ในธุรกิจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซัมซุงจำหน่ายสมาร์ทโฟนได้มากกว่าโซนี่ถึง 7 ต่อ 1 ขณะเดียวกันทำรายได้จากธุรกิจทีวีจอแบนได้มากกว่าโซนี่ 3 เท่าตัว
ด้านนายคาซึโนริ ทากามิ ประธานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของพานาโซนิค คอร์ป กล่าวว่า บริษัทเลื่อนแผนการลงทุนก้อนใหญ่ออกไปเนื่องจากสถานการณ์ทางการเงิน "เราพยายามตัดสินใจว่าจะรอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมจึงจะลงทุนก้อนใหญ่ หรือเลือกลงทุนเป็นก้อนเล็กๆ แทน"