สมาคมส่งเสริมการรับช่วงผลิตดิ้น ถูกนักลงทุนญี่ปุ่นแย่งงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หลังสิ้นสุดนโยบายรถยนต์คันแรก วอนบีโอไอออกสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ สกัดนักลงทุนที่จะเข้ามาต้องกำหนดสัดส่วนถือหุ้นร่วมทุนตายตัวไม่เกิน 49 % กันฮุบกิจการ พร้อมเร่งหาตลาดต่างประเทศรองรับ กระตุ้นภาครัฐโหมประชาสัมพันธ์ให้ทั่วโลกรู้จักฝีมือคนไทย
นายชนาธิป สุรชัยสิทธิกุล นายกสมาคมส่งเสริมการรับช่วงผลิต เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้สมาคมอยู่ระหว่างการทำหนังสือและรวบรวมข้อมูลส่งให้ นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เพื่อหาแนวทางแก้ไขกรณีที่นักลงทุนจากญี่ปุ่นได้เข้ามาขอรับสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเป็นจำนวนมาก เพื่อผลิตชิ้นส่วนป้อนให้กับค่ายรถยนต์ต่างๆ ซึ่งกำลังจะสร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการรับช่วงผลิตของสมาคมที่มีสมาชิกกว่า 400 ราย เนื่องจากมองว่าเป็นการเข้ามาแย่งงานของผู้ผลิตในประเทศโดยตรง ทำให้ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นจะหันไปใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตที่มาจากประเทศเดียวกันมากขึ้น และจะทำให้ยอดการผลิตสินค้าส่งขายในประเทศของผู้ประกอบการลดลงทันที
ทั้งนี้ แม้ว่าช่วงนี้ผู้ประกอบการรับช่วงผลิตจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลก รวมทั้งการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน หรือปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังได้รับอานิสงส์จากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลอยู่ แต่ปัญหาจะเริ่มปรากฏในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป เมื่อสิ้นสุดการส่งมอบรถยนต์คันแรก
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหานั้น บีโอไอควรที่จะแก้ไขกฎระเบียบในการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนที่จะเข้ามาใหม่ ในลักษณะการทำธุรกิจแบบร่วมทุน ที่ต้องกำหนดสัดส่วนที่แน่นอน โดยให้ผู้ประกอบการคนไทยถือหุ้น 51% และนักลงทุนต่างชาติ 49% จึงจะได้รับการส่งเสริม เนื่องจากที่ผ่านมาการถือหุ้นของต่างชาติจะเป็นในลักษณะ "นอมินี" เมื่อทำธุรกิจร่วมกันในระยะหนึ่งแล้ว นักลงทุนต่างชาติจะปรับเปลี่ยนสัดส่วนถือครองหุ้นจนทำให้นักธุรกิจไทยมีสัดส่วนถือครองหุ้นที่ต้องลง และไม่มีสิทธิมีเสียงในการบริหารกิจการ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบและไม่ได้รับเทคโนโลยีและความรู้อย่างแท้จริง
"สิ่งที่นักลงทุนญี่ปุ่นใช้วิธีปรับเปลี่ยนสัดส่วนหุ้นนั้น เพราะอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นต่ำมาก สามารถเพิ่มทุนปรับสัดส่วนหุ้นส่งผลให้คนไทยมีสัดส่วนการถือหุ้นเพียง 10% ทำให้อำนาจการบริหารงานอยู่ที่ญี่ปุ่นทั้งหมด ผู้บริหารคนไทยทำได้เพียงแค่ประสานงานกับ บีโอไอ ในเรื่องของสิทธิประโยชน์ต่างๆ เท่านั้น"
ส่วนการแก้ปัญหาเร่งด่วนนั้น นายนาธิป กล่าวว่า ทางผู้ประกอบการคงต้องหาตลาดใหม่เข้ามาเสริมแทนตลาดในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่ยังมีความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์อยู่ ซึ่งขณะนี้สมาคม กำลังเร่งประชาสัมพันธ์ไปยังประเทศต่างๆ ให้รับทราบถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญ ไม่เว้นแม้แต่ญี่ปุ่น ก็มีการออกไปโรดโชว์ แต่ยอมรับว่าเข้าไปยาก เพราะการแข่งขันสูง ขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปที่เคยไปออกงาน ก็ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าไทยเป็นประเทศที่เด่นในเรื่องอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ คิดว่าเป็นเพียงประเทศอุตสาหกรรมการเกษตร แปรรูปอาหาร ซึ่งหากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี มีผลบังคับในปี 2558 แล้ว หากยังไม่ประชาสัมพันธ์ให้ทั่วโลกทราบ อินโดนีเซีย อินเดีย และจีน จะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญ เพราะมีการให้ข้อมูลที่ดีกว่าประเทศไทย
ดังนั้น รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการประชาสัมพันธ์ถึงกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ โดยฝีมือคนไทยให้ประเทศต่างๆ รับทราบถึงศักยภาพที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการกระจายสินค้าได้มากขึ้น