เศรษฐกิจเมียนมาร์ไปโลด สามารถผลักจีดีพีโต 4 เท่า จากมูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2553 เป็น 200,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2573 หากเมียนมาร์พัฒนาทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างถูกจุด เน้นพัฒนา 4 ด้านหลัก พลังงานและเหมืองแร่, เกษตรกรรม, อุตสาหกรรม และสาธารณูปโภค จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากกว่า 85%
เดอะ สเตรต ไทมส์ รายงานผลวิจัย หัวข้อ "Myanmar?s moment : Unique opportunities, major challenges" ของสถาบันแมคคินซี โกลบอล หรือเอ็มไอจี ระบุว่า อัตราจีดีพีของเมียนมาร์สามารถเติบโตได้ 4 เท่า จากมูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2553 เป็น 200,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2573 แต่ต้องเลือกพัฒนาทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างถูกต้อง
เอ็มไอจีเห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมสำคัญที่สุด เพราะสามารถเอื้อโอกาสให้แก่นักลงทุนเปลี่ยนฐานการลงทุนจากประเทศที่เคยมีค่าแรงถูกอย่างจีน มายังเมียนมาร์
อย่างไรก็ตามในแง่การพัฒนา เอ็มไอจีระบุว่า "ผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยต่อคนของเมียนมาร์ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 70% และมีอัตราการเข้ารับการศึกษาโดยเฉลี่ยจากประชากรทั้งประเทศเพียงชั้นประถมต้น นอกจากนี้ประชากรเมียนมาร์เพียง 4% มีรายได้สูงพอที่สามารถใช้จ่ายด้านสันทนาการ ขณะที่อัตราของประชากรทั่วโลกอยู่ที่ 35%
ผลวิจัยยังแนะว่า เมียนมาร์ควรกระจายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศให้หลากหลาย นอกเหนือจากพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ โดยการพัฒนาของเมียนมาร์จะเป็นไปในแง่บวก หากพัฒนากฎระเบียบ, ระบบสาธารณูปโภค, เศรษฐกิจมหภาคและการเมืองมีความมั่นคง
ผลวิจัยเอ็มไอจีระบุว่า สิ่งที่นักลงทุนได้เรียนรู้จากการเข้ามาในเมียนมาร์ คือเห็นว่ายังเป็นประเทศที่มีความซับซ้อน และอยู่ในช่วงเวลาที่คาดเดาไม่ได้ เมียนมาร์ควรลดจุดด้อยที่นักลงทุนมองด้วยการลงมือปฏิบัติ
เอ็มจีไอเห็นว่า นักลงทุนยังมองในแง่บวก แต่ยังคงกังวลว่ากระบวนการปฏิรูปเศรษฐกิจจะดำเนินไปเพียงชั่วคราว หรือเป็นไปอย่างมั่นคง เป็นระบบในระยะยาว โดยเมียนมาร์ต้องการเงินทุนอย่างน้อย 320,000 ล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน
ผลวิจัยระบุว่า "เมียนมาร์จำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาลนานาชาติ, องค์กรเงินทุน, นักลงทุนต่างชาติ และการค้าการลงทุนอย่างสูง เพราะพวกเขาเหล่านี้เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของเมียนมาร์ใกล้ชิด"
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระดับผู้บริหารของเอ็มจีไอเห็นว่า ปัจจัย 3 ประการที่เมียนมาร์ต้องจัดการคือ 1)การปฏิรูปทางการเมือง 2)กระบวนการทางสันติภาพ และ 3)ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
นายริชาร์ด ดอบบ์ส ผู้อำนวยการเอ็มจีไอ กล่าวว่า "ความท้าทายประการแรกคือ การทำให้วิสัยทัศน์ในการปฏิรูปชัดเจนและดำเนินการตามนั้น ไม่ใช่การปฏิบัติอย่างไร้แผน"