“สมคิด” ชี้ ตัวเลขจีดีพีไตรมาสสาม ของปี 2562 อยู่ที่ 2.4 สูงขึ้นกว่าไตรมาสสอง ขอ อย่าเอาแต่พูดว่าย่ำแย่ มอง หากปลายปีสภาพเศรษฐกิจเป็นไปด้วยดีก็ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สภาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ไตรมาสสาม ของปี 2562 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.4 และคาดการณ์ว่าทั้งปีจะขยายตัวที่ร้อยละ 2.6 ว่า ตัวเลขที่ 2.4 ในไตรมาสสามนั้นถือว่าสูงกว่าในไตรมาสสอง ซึ่งรัฐบาลก็พยายามรักษาอัตราการเจริญเติบโตไว้ โดยต้องเข้าใจว่าประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกเช่นเดียวกับทุกประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลอนุมัติออกมานั้น เช่น ชิมช้อปใช้ ก็เป็นส่วนช่วยในการทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวได้เพิ่มขึ้น แต่มีส่วนที่คาบเกี่ยวกับตัวเลขในไตรมาสสี่ ซึ่งยังไม่เห็นผลในไตรมาสสามที่มีการประเมินออกมา ขณะที่ในไตรมาสสี่นั้น จากข้อมูลที่มีอยู่พบว่ามีงบประมาณของรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายหรือที่เรียกว่างบประมาณค้างท่อ ประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท ที่จะมาช่วยตัวเลขทางเศรษฐกิจในไตรมาสสี่ได้
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดหากมีความจำเป็นก็ต้องออกมาตรการที่มีความเหมาะสม แต่หากสภาพเศรษฐกิจเป็นไปด้วยดีก็ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ประเด็นสำคัญคือ ทุกฝ่ายต้องให้ความมั่นใจสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของไทยที่ยังอยู่ในฐานะดี เนื่องจากขณะนี้นักลงทุนต่างชาติมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมของไทย
อย่างไรก็ตาม เรื่องประเด็นทางเศรษฐกิจในขณะนี้จะถูกหยิบยกไปเป็นประเด็นในการอภิปรายการทำงานของรัฐบาลหรือไม่นั้น นายสมคิด มองว่าคงไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเพราะถือเป็นประเด็นโดยรวมของทุกฝ่าย ซึ่งเรื่องของเศรษฐกิจหากทุกฝ่ายพูดแต่เพียงว่าย่ำแย่ จะทำให้ความรู้สึกของส่วนรวมนั้นไม่ดี กระทบการบริโภคการลงทุน ดังนั้น ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกเป็นเช่นนี้ รัฐ เอกชน ฝ่ายค้าน หรือรัฐบาล ต้องมาช่วยกันคิด