ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
มีมติเห็นชอบกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ
โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาด
และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon
Neutrality) ภายในปี พ.ศ.2608-2613
โดยการส่งเสริมการลงทุนพลังงานสีเขียวในภาคพลังงาน อาทิ
การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่โดยมีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50
ปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งเสริมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (Electric
Vehicle: EV) นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริหารจัดการพลังงานสมัยใหม่
มาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงาน
ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคต
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ถือเป็นหน่วยงานหนึ่งทางด้านพลังงานที่สำคัญของไทย
โดยภายใต้การนำของหัวเรือใหญ่อย่างนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. นั้น
ล่าสุดได้นำร่องโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร
จ.อุบลราชธานี (Hydro-floating Solar Hybrid) กำลังผลิต 45 เมกะวัตต์
ซึ่งถือเป็นโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ช่วยลดข้อจำกัดของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตไฟฟ้าได้เพียงบางเวลา
ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ยาวนานขึ้น
โดยในช่วงกลางวันจะผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์
และช่วงกลางคืนผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
ควบคู่กับแบตเตอรี่ที่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากการผลิตไฟฟ้าในตอนกลางวัน
อีกทั้งยังเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมของเขื่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ
สายส่งไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าแรงสูง ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลง
อย่างไรก็ดี
ปัจจุบันได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กับทุ่นลอยน้ำในเขื่อนสิรินธรครบทั้งหมด 7 ชุด
พร้อมติดตั้งทุ่นคอนกรีตของระบบยึดโยงใต้น้ำและก่อสร้างอาคารสวิตช์เกียร์แล้วเสร็จ
คาดจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date:
COD) ได้ในเดือนตุลาคม 2564
นอกจากนี้ กฟผ.
ยังรอให้กระทรวงพลังงานอนุมัติขยายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าโซลาร์ลอยน้ำฯ จากแผน PDP
ปัจจุบันที่มีสัดส่วน 2,725 เมกะวัตต์ เป็น 5,000 เมกะวัตต์
เพื่อตอบโจทย์พลังงานสะอาดของประเทศอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กฟผ. ยังพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าของประเทศให้มีความทันสมัย
(Grid
Modernization) โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาช่วยบริหารจัดการ
อาทิ
การติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานเชื่อมต่อกับระบบส่งไฟฟ้าซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์
จ.ชัยภูมิ และสถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี
เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพไฟฟ้าจากความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียนที่เข้ามาในระบบไฟฟ้า
การใช้ระบบติดตามเฝ้าระวังแบบออนไลน์ในการวางแผนสำหรับบำรุงรักษา
การใช้โดรนบินตรวจสายส่งแทนคน รวมถึงการปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงเป็นแบบดิจิทัลเพื่อรองรับกับการเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะหรือสมาร์ทกริดในอนาคต
ส่วนในภาคการขนส่งนั้น กฟผ.
ได้มีการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเป็นรูปธรรม
อาทิ การติดตั้งสถานีชาร์จอีวี EleX by EGAT จำนวน 14 แห่ง
และเตรียมขยายเพิ่มอีก 34 แห่งในอนาคต
การพัฒนาแอพพลิเคชัน EleXA สำหรับค้นหาสถานีชาร์จอีวี
ออกแบบและติดตั้ง EGAT Wallbox สำหรับชาร์จอีวีภายในบ้านหรือสถานที่ประกอบการ
รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์ม BackEN สำหรับบริหารจัดการสถานีชาร์จอีวีแบบครบวงจร