“ม.หอการค้าไทย” เผย 1 ปีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ฉุดมูลค่าส่งออกไทยหายวับเกือบ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 61 ส่วนปี 62 คาดมูลค่าส่งออกจะหายไปมากกว่า 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯแน่นอน แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัว ภาครัฐเร่งเจรจาขยายตลาดด่วนๆ
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการประเมินสงครามการค้า : ผลกระทบการส่งออกไทยปี 2562 ว่า ในช่วงเกือบ 1 ปีที่สหรัฐฯและจีนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและประเทศไทยแล้ว โดยศูนย์ฯประเมินว่าจะทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2561 หายไป 351-597 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือทำให้อัตราการขยายตัวลดลง 0.1-0.2% และผลของสงครามการค้าดังกล่าว ทำให้คาดว่าปีนี้มูลค่าการส่งออกของประเทศไทยจะขยายตัว 6.1-7.5% เท่านั้น ส่วนปี 2562 คาดว่ามูลค่าการส่งออกของประเทศไทยจะหายไปอีก 1,181-4,427 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรืออัตราการขยายตัวลดลง 0.5-1.9%
ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสินค้าไทยอยู่ในห่วงโซ่การผลิตสินค้าทั้งของประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ทั้ง 2 ประเทศ นำเข้าสินค้าจากไทยลดลง โดยปี 2562 คาดว่าทั้ง 2 ประเทศจะนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยลดลง 0.6-2.4% โดยสินค้าที่มูลค่าการส่งออกจะหายไปมากที่สุด คือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจากการที่ทั้ง 2 ประเทศขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็น 10% มูลค่าการส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทยจะลดลง 343 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่หาก 2 ประเทศปรับขึ้นภาษีเป็น 25% มูลค่าจะหายไป 758 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาเป็นสินค้าเคมีภัณฑ์, ยางและพลาสติก, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ โดยมูลค่าการส่งออกจะหดหายมากขึ้นตามอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 ภาพรวมการส่งออกของไทยไปตลาดโลกจะลดลง 0.2-0.8% เพราะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน แต่หากสหรัฐฯและจีนขึ้นภาษีระหว่างกันมากกว่า 25% จะทำให้การส่งออกไทยไปตลาดโลกลดลงถึง 8% หรือมูลค่าหายไป 1,796-57,736 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกที่หายไป พิจารณาเฉพาะผลกระทบจากสงครามการค้าเท่านั้น ยังไม่รวมปัจจัยอื่นๆ ด้วยทั้งเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้า อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมัน และปัญหาการเมืองของแต่ละประเทศ
“หาก 2 ประเทศขึ้นภาษีนำเข้าเกินกว่า 25% เป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดจากที่คาดการณ์ไว้ แต่โอกาสที่ 2 ประเทศ จะขึ้นภาษีเกินกว่า 25% มีความเป็นไปได้น้อยมาก หรือน่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 50 : 50 เท่านั้น เพราะต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาของทั้ง 2 ประเทศ และการขึ้นภาษี 10% ในปัจจุบันก็สะท้อนแล้วว่าไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ ลดการขาดดุลการค้ากับจีนได้เลย แต่กลับทำให้สหรัฐฯต้องนำเข้าสินค้ามากขึ้น ในราคาที่สูงขึ้น โดยเป้าหมายการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลระหว่างประเทศ”
นายอัทธ์กล่าวว่า เมื่อมองอีกมุม เมื่อสหรัฐฯและจีนขึ้นภาษีระหว่างกัน จะส่งผลให้สินค้าบางรายการ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก พลาสติก รถยนต์ และเคมีภัณฑ์ ส่งออกมาไทยมากขึ้น โดยคาดว่าสินค้าบางรายการ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า จะส่งออกมาประเทศไทยสูงถึง 1,094 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่สินค้าเหล่านี้ส่งออกไปเวียดนามมากเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 3,137 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพราะมีชายแดนติดกับประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มศักยภาพการค้าการส่งออกและลดการนำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศ ที่จะส่งออกมาไทยมากขึ้น ผู้ส่งออกไทยต้องปรับตัว โดยเฉพาะผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไทย 100% โดยในจำนวนนี้กว่า 70% ต้องปรับเปลี่ยนและเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเอง มองตลาดอาเซียนและเอเชียมากขึ้น เพิ่มช่องทางการผลิตให้มากขึ้น ขณะที่ภาครัฐอาจต้องเจรจาการค้ากับหลายประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการค้า การส่งออก ทดแทนตลาดสหรัฐฯและจีน แต่ทั้งนี้สงครามการค้าไม่ได้มีเฉพาะปัจจัยเสี่ยง โอกาสที่ไทยจะส่งออกไปสหรัฐฯและจีนก็มีด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ยาง และผลิตภัณฑ์ยาง พลาสติก ไม้ อาหารแปรรูป เป็นต้น
“ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือจากผลกระทบ โดยเฉพาะการทะลักของสินค้าจีนที่เข้ามาไทย ซึ่งกลุ่มที่ต้องระมัดระวังและเตรียมความพร้อมมากที่สุดคือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพราะหากไม่มีมาตรการรับมือ อาจส่งผลให้เอสเอ็มอีไทยต้องหยุดประกอบกิจการ ขณะที่อาเซียนต้องร่วมมือซื้อขายกันมากขึ้น ไม่พึ่งพาตลาดจีนเพียงอย่างเดียว แต่ในทางกลับกันผลดีที่ เกิดขึ้นของสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนก็คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ที่จะเข้ามาในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ในอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งไทยควรใช้โอกาสนี้ในการขอให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ ให้ด้วย”.