อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและชิ้นส่วน เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิต ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ คาดว่าภาพรวมตลาดในปี 2561 จะมีมูลค่าประมาณ 1.14-1.16 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3-5 (YOY) โดยจำนวนผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 90 และที่เหลือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ร่วมทุนหรือลงทุนโดยต่างชาติ ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ตลาดเครื่องจักรกลและชิ้นส่วนเติบโตขึ้นก็เนื่องมาจากประเทศไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงมีการพัฒนาภาคการผลิตทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร ไปสู่ภาคการผลิตที่ทันสมัย ลดต้นทุน และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ หรือพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมและเกษตร 4.0 จึงเอื้อต่อความต้องการเครื่องจักรของธุรกิจใหม่ รวมถึงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรของธุรกิจเดิม แต่อย่างไรก็ดียังมีความท้าทายที่ผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรจำเป็นต้องปรับตัวตั้งรับ ดังต่อไปนี้
1.รูปแบบความต้องการที่เปลี่ยนไป จากนโยบาย Thailand 4.0 ที่ปรับรูปแบบไปสู่ฐานเศรษฐกิจใหม่ (new S-curve) ซึ่งเน้นนวัตกรรมมากขึ้น มีการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้เพื่อทดแทนแรงงานคน และมีความเที่ยงตรงแม่นยำมากกว่า รวมถึงหันมาใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดแทนยานยนต์สันดาปภายในแบบเดิม ส่วนในภาคการเกษตรที่ซึ่งมีข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น เรื่องน้ำ ราคาสินค้าเกษตร และต้นทุนการผลิต ซึ่งภาครัฐผลักดันให้จัดโซนนิ่งภาคการเกษตร ทำให้พื้นที่เพาะปลูกมีแนวโน้มลดลง และเพิ่มพื้นที่ในส่วนของพืชที่มีผลตอบแทนสูงกว่า เช่น อ้อย ข้าวโพด รวมถึงไม้ผลทดแทน จากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้สินค้าเครื่องจักรกลและชิ้นส่วนแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในระยะข้างหน้า
2.การย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรม เนื่องจากศักยภาพการแข่งขันของไทยในการเป็นฐานการผลิตเริ่มลดลง ทั้งทางด้านต้นทุนการผลิต แรงงาน และการขาดแคลนวัตถุดิบ ประกอบกับผลประโยชน์ด้านทางภาษีหรือการลดข้อจำกัดด้านการกีดกันทางการค้าในบางอุตสาหกรรม เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ภาคธุรกิจของไทย รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ หันไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทยซึ่งมีสิ่งแวดล้อมการลงทุนที่เหมาะสม ทั้งนี้หากสถานการณ์ดังกล่าวทวีความเข้มข้นขึ้น ก็ย่อมกระทบต่อความต้องการเครื่องจักรกลและชิ้นส่วนของไทยในอนาคต
3.การแข่งขันจากต่างประเทศ มีการนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศคู่แข่งซึ่งมีข้อได้เปรียบทางด้านราคา หรือเทคโนโลยี เช่น ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐ และเยอรมนี เข้ามาแข่งขันกับเครื่องจักรที่ไทยผลิตเองได้ โดยเฉพาะเครื่องจักรกลการเกษตร มีแนวโน้มการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในส่วนของเครื่องจักรกลการเกษตรราคาไม่แพงจากจีน ที่จับตลาดเกษตรกรรายย่อย รวมถึงเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่อรองรับโครงการเกษตรแปลงใหญ่ หรือเกษตรกรรายใหญ่ที่ใช้ในพื้นที่ของตนเอง รวมถึงผู้ให้บริการรับจ้างเครื่องจักรการเกษตรกับเกษตรกรทั่วไป
ซึ่งความท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายจำเป็นต้องเตรียมแนวทางการรับมือเอาไว้ ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรที่ตรงตามตลาดต้องการ การแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีโนว์ฮาวเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการซ่อมบำรุงเครื่องจักร นอกจากนี้การหาโอกาสไปเปิดตลาดต่างประเทศ
โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ระหว่างพัฒนาการผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และมีความต้องการเครื่องจักรสูง และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การสื่อสารกับลูกค้าที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ และเป็นแหล่งข้อมูลเพื่อนำไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุดนั่นเองครับ