นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยผลการประชุม กนง.เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2561 ว่า คณะกรรมการ มีมติ 5 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดย 1 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75% ในการประชุมครั้งนี้ เพราะเห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจชัดเจน เกรงว่าหากดอกเบี้ยต่ำนานเกินไป โดยดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ 0.6% ประชาชนจะประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร และจะไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ส่วนกรรมการ 1 คน ลาประชุม
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มเป็นขยายตัว 4.4% จากเดิม 4.1% และเศรษฐกิจปี 2562 โต 4.2% จากเดิม 4.1% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกปีนี้ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 9% จากเดิม 7% และปี 2562 ส่งออกขยายตัว 5% และการท่องเที่ยว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง 3.7% แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจยังไม่ได้ส่งผลดีต่อครัวเรือนและการจ้างงานอย่างทั่วถึง
ส่วนการลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้นโต 3.7% จากแรงสนับสนุนโครงการภาครัฐที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ต้องติดตามการลงทุนในโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ว่าจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ โดยคาดการณ์ การลงทุนภาครัฐโต 8.9% ลดลงจากเดิม 9.5%
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ การกีดกันการค้า และมาตรการการตอบโต้จากคู่ค้าของสหรัฐที่อาจส่งผลต่อการค้าโลกและการส่งออกของไทย ซึ่ง กนง.ยังติดตามใกล้ชิด ขณะเดียวกันยังติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ยังคงมีความผันผวนสูง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตรไทย กลับไปลงทุนเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินไหลออกสุทธิ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสิ้นเดือนเมษายน 2561 แต่ยังไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม พื้นฐานเศรษฐกิจยังเข้มแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังสูง หนี้ต่ำ และการถือครองพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติไม่สูง ดังนั้น แม้เงินทุนระยะสั้นจะไหลออก แต่เศรษฐกิจยังมีเสถียรภาพและมีความเข้มแข็ง
ขณะที่ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงในบางจุดที่อาจจะสร้างความเปราะบางให้กับเสถียรภาพระบบการเงินได้ในอนาคต โดยเฉพาะพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มรายได้ต่ำและธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้างและรูปแบบการทำธุรกิจ