สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
18/04/2018
ข่าวเศรษฐกิจ
??„???????????????????ˆ?????‡?????????????????????ˆ??‚??????????????????????????????????ˆ??„??????

“ดร.วิรไท สันติประภพ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย นัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินปี 2561” ในงานสัมมนา THE WISDOM “The Symbol of your Visionary : ก้าวทันเศรษฐกิจ ก้าวนำการลงทุน ปี 2018”

โลกธุรกิจฯได้นำบางช่วงที่น่าสนใจมานำเสนอก็คือ “ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่สำคัญในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้าคืออะไร?” โดยผู้ว่าการฯระบุว่าความเสี่ยงหลักๆ จะมี 3 เรื่องด้วยกัน

ความเสี่ยงแรก คือความผันผวนของตลาดการเงินโลก

ซึ่งตลาดเงินตลาดทุนอาจเกิดการปรับฐานอย่างรุนแรง (Market correction) ตัวอย่างจากเหตุการณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราพบว่าสาเหตุสำคัญเกิดจากความไม่สอดคล้อง (Mismatch) กันระหว่างมุมมองของนักลงทุนในตลาดกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เมื่อตัวเลขค่าจ้างและเงินเฟ้อของสหรัฐ ปรับสูงขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเงินเฟ้อและแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ จนเกิดเป็นภาวะ Market correction อย่างรวดเร็วและรุนแรง ดังจะเห็นได้จากดัชนีในตลาดหลักทรัพย์หลักๆ ทั่วโลกปรับลดลงทันที โดยเฉพาะดัชนี DOWJONES ที่ปรับลดลงถึง 10% ในช่วงเวลาเพียงสองสัปดาห์ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาความเสี่ยงนี้จะเกิดถี่ขึ้นในช่วงเวลา Policy normalization และเป็นความท้าทายของปี 2561 ซึ่งสามารถสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินและตลาดทุน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยระยะยาว รวมทั้งต้นทุนทางการเงินที่จะกระทบต่อคุณภาพของหนี้และความยั่งยืนของผู้ประกอบการได้ที่สำคัญเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะปรับตัวของตลาดขึ้นอีกหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อใด ผู้ประกอบการและนักลงทุนจึงต้องระมัดระวังความเสี่ยงเหล่านี้

ความเสี่ยงที่ 2 เกิดจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายการค้าสหรัฐ

จากแนวโน้มการดำเนินนโยบายที่ให้ความสำคัญกับประเทศตัวเอง (Inward lookingpolicy) มากขึ้น ในช่วงอาทิตย์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐ ได้ออกมาตรการภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทาง
การค้า (Trade protectionism) หลายรายการ และจีนได้ตอบโต้กลับด้วยมาตรการรุนแรง (Trade retaliation) ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น อาจนำไปสู่สงครามทางการค้า (Trade war) ที่เกิดผลกระทบกว้างไกลมากเราจะเห็นได้ว่าแนวคิดในการใช้นโยบายกีดกันทางการค้ามีมากขึ้นและถี่ขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายและผลกระทบเป็นความเสี่ยงที่ประเมินได้ยาก ถึงแม้ปัจจุบันหลายหน่วยงานประเมินว่าผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอาจยังไม่มาก แต่อาจจะมีผลกระทบในระดับจุลภาคที่รุนแรงได้กับผู้ผลิตในบางภาคอุตสาหกรรม มาตรการกีดกันทางการค้าจะเกิดผลกระทบได้ตลอดห่วงโซ่การผลิตโลก(Global value chain: GVC) นั่นหมายถึงผู้ผลิตวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในประเทศอื่นๆ จะได้รับผลกระทบไปด้วย ขณะเดียวกัน ประเทศที่โดนมาตรการกีดกันทางการค้าอาจจะหันเหไปค้าขายกับประเทศอื่นแทน (Trade diversion) ส่งผลให้สินค้าล้นตลาดในประเทศอื่นได้กระทบกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ สำหรับในประเทศที่ใช้มาตรการกีดกันทางการค้า ราคาสินค้านำเข้าจะสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและวัตถุดิบในประเทศสูงขึ้นซึ่งส่งแรงกดดันไปสู่เงินเฟ้อในที่สุด

นอกจากนี้ สงครามทางการค้าอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งนักลงทุนโดยตรงและนักลงทุนในตลาดทุนอีกด้วย ดังนั้น แม้ว่าผลกระทบทางตรงต่อไทยในระยะสั้นจะไม่น่ากังวลนัก เพราะโครงสร้างการส่งออกของไทยไม่ได้มีสินค้าในกลุ่มที่โดนมาตรการกีดกันมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมองข้ามความเสี่ยงในมิติอื่นๆ ไปได้ทั้งหมด เพราะท้ายที่สุดแล้ว สงครามการค้าถ้าเกิดขึ้นรุนแรงจะกระทบต่อแรงส่งของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความเสี่ยงที่ 3 คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี

ซึ่งส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคและธุรกิจต่างไปจากเดิม ตัวอย่างที่เราคุ้นเคยกันดีเช่น Grab และ AirBNB ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของ Disruptive technology ในการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและธุรกิจ ทำให้ธุรกิจรถแท็กซี่และธุรกิจโรงแรมแบบดั้งเดิมต้องเผชิญกับความเสี่ยงในรูปแบบใหม่ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หรืออีกตัวอย่างหนึ่งในภาคการเงิน ธนาคารพาณิชย์ กำลังเผชิญกับการปิดสาขา ลดจำนวนพนักงาน และปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบ Digital bankingมากขึ้น เพื่อสอดรับกับกระแสเทคโนโลยีใหม่ๆ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอีกด้วยอาทิ ระบบ PromptPay และระบบ QR Code ที่ได้นำมาใช้ในปัจจุบัน รวมทั้งการที่ทางการมีนโยบายเปิดกว้างให้มีผู้ให้บริการชำระเงินรายใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันได้ และเชื่อมต่อกับระบบกลางได้ ได้ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับตัวลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ๆ อีกมากที่จะเข้ามามีบทบาทในระบบการเงิน เช่น AI, Data analytics, Biometrics, Distributed Ledger technology, หรือ Blockchain เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคทำธุรกรรมการเงินที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและพฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนไปจะทำให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ช่องทางดำเนินธุรกิจใหม่ๆ ตลอดจนสินค้าและบริการใหม่ๆซึ่งสร้างประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่พวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหาร หรือนักลงทุน จะต้องทำความเข้าใจและบริหารจัดการความเสี่ยงโดยเฉพาะความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์และความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ที่จะเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน

ปี 2561 นับเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยได้รับแรงส่งจากทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งขึ้น และการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชนและภาครัฐต่อเนื่อง แต่ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ รวมถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผมเชื่อมั่นว่าด้วยเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมที่อยู่ในเกณฑ์ดีประกอบกับภาครัฐและเอกชนติดตามประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและรอบด้านจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีภูมิคุ้มกันที่จะรองรับแรงปะทะจากความผันผวนและความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ที่มาของข่าว: แนวหน้า

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.