นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2561 มีประเด็นกังวลต่อความคืบหน้าของการลงทุนภาครัฐซึ่งที่ผ่านมาอาจยังมีข้อติดขัด สังเกตได้จากการลงทุนของภาครัฐในช่วงไตรมาส 4/2560 (ตุลาคม-ธันวาคม) ซึ่งเป็นช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ2561 หดตัว 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนเม็ดเงินจากภาครัฐที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมีความล่าช้า ซึ่งนอกจากจะเป็นผลของการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในปีก่อนหน้าแล้ว ยังน่าจะเป็นผลมาจากขั้นตอนการเบิกจ่ายภายหลังการบังคับใช้พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่
“ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบลงทุนเพราะหากการเบิกจ่ายสามารถทำได้ราบรื่นมากขึ้น จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเข้าถึงและการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ อย่างไรก็ดี หลังจาก พ.ร.บ.อีอีซีประกาศบังคับใช้ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นจะเห็นได้จากเริ่มมีการซื้อที่ดิน และสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นการลงทุนของภาคเอกชนชัดเจนในไตรมาสสองนี้” นายเจน กล่าว
ขณะที่เศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 2561 ยังมีแรงส่งของการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องจากในช่วงไตรมาส 4/2560 สะท้อนจากการขยายตัวสูงของการส่งออกและการท่องเที่ยวในเดือนม.ค. 2561 อีกทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนก็เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น แม้จะยังไม่แข็งแรงนักก็ตาม
ทั้งนี้ ยังคงติดตามความผันผวนของค่าเงินที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยและติดตามผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและการค้าของไทย จากการดำเนินมาตรการปกป้องการค้าของสหรัฐ และการที่หลายๆ เศรษฐกิจหลักอาทิ สหภาพยุโรป แคนาดา จีน เกาหลีใต้ อาจจะดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้าซึ่งในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อการผลิต-การค้า และราคาของสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในตลาดโลก
นายเจนกล่าวว่า แม้เครื่องชี้เศรษฐกิจของสหรัฐจะสะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ค่าเงินเหรียญสหรัฐ ยังคงอ่อนค่า เนื่องจากตลาดยังมีปัจจัยกังวลต่อการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นของทางการสหรัฐ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ โดยจะเริ่มปรับขึ้นในการประชุมวันที่ 20-21 มีนาคม 2561 นี้
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยต่างๆ ที่ต้องติดตามในขณะนี้ กกร. จึงยังคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ไว้ตามเดิมที่3.8-4.5% และการส่งออก คงไว้ที่ 3.5-6%