กว่าอุตสาหกรรมแต่ละชนิดจะก้าวสู่ผู้ผลิตที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่อยู่เบื้องหลัง เพราะศึกษารายอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับให้แต่ละกลุ่มมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม ศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสศอ. ให้สัมภาษณ์ถึงภารกิจยกระดับอุตสาหกรรมไทย ก้าวไปสู่อินดัสตรี 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล
ผู้อำนวยการสศอ.อธิบาย ถึงภารกิจหลักของสศอ.ว่า มีอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรกคือเรื่องของยุทธศาสตร์ ภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมในประเทศควรจะมียุทธศาสตร์อะไรบ้าง เรื่องกฎระเบียบ เรื่องของมาตรฐานอุตสาหกรรม รวมไปถึงเรื่องของเอสเอ็มอี เหล่านี้คือเรื่องของยุทธศาสตร์ในภาพรวม
ศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการ สศอ.
ส่วนที่ 2 คือเรื่องนโยบายเฉพาะด้าน เช่น นโยบายด้านแรงงาน นโยบายด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น ดูว่าจะทำอย่างไรให้ภาคอุตสาหกรรมไปสู่อินดัสตรี 4.0 ตรงนี้ก็เป็นส่วนที่เราจะต้องไปดูว่า จะมีขั้นตอนในการทำให้ภาคอุตสาหกรรมก้าวหน้าได้อย่างไร หรือในเรื่องของ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่, อิเล็กทรอนิกส์อัฉริยะ, การบินและโลจิสติกส์, การแพทย์ครบวงจรฯลฯ ก็จะเป็นส่วนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อุตตม สาวนายน) มอบหมายให้ทำเรื่องยุทธศาสตร์ว่า ในแต่อุตสาหกรรมจะต้องทำอย่างไร
สำหรับกลุ่มแรกจาก 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ชงเข้าครม.ไปแล้วคือ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และที่กำลังจะนำเข้าครม.ต่อไปคือ หุ่นยนต์อัตโนมัติ (Automation Robotic) โดยมีเป้าหมายว่าใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนี้ เราจะพัฒนา ยกระดับอย่างไร ให้ไปสู่อินดัสตรี 4.0 เช่น กลุ่มยานยนต์ ที่จะมุ่งไปสู่รถในอนาคตมากขึ้น โดยข้อเสนอที่ชงเข้าครม.ไปก่อนหน้านี้ มีเรื่องของดีมานด์ จะทำอย่างไรให้มันเกิดดีมานด์ เพื่อจะรองรับในเรื่องการผลิต และในภาครัฐบาลเอง จะมีส่วนสนับสนุนได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ในเรื่องการจัดซื้อ จัดจ้าง ภาครัฐควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานของภาครัฐซื้อรถยนต์อีวีมากขึ้นได้หรือไม่ เช่น เวลานี้รถเมล์ขสมก.ก็พยายามผลักดันให้มีเรื่องของรถเมล์ที่เป็นรถเมล์ไฟฟ้าอีวี
**ผลที่เกิดขึ้น
หลังจากที่สศอ.เสนอแผนสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตเข้าครม.ครบ 3 เดือนแล้ว เรากำลังทำเรื่องการติดตามผลว่า ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เท่าที่ดูในประเทศไทยยังไม่มีชิ้นส่วนสำคัญที่ประกอบใช้ในรถยนต์อีวี เมื่อเดินไปสักระยะมีการผลิตแบตเตอรี่ ผลิตชิ้นส่วนอื่นๆในประเทศก็น่าจะทำให้ดึงดูดการลงทุนมากขึ้น เหล่านี้ก็เป็นเรื่องของครม.ที่จะต้องกลับไปดู
กระทรวงพลังงานก็มีการกำหนดแผนว่า จะต้องมีสถานีอัดบรรจุไฟฟ้า (ชาร์จจิ้ง สเตชั่น) 100 สถานี ซึ่งเข้าใจว่า ขณะนี้น่าจะมีหน่วยงานมาขอให้ติดตั้งแล้ว ซึ่งในส่วนที่มาขอติดตั้งนี้ยังไม่มีการมารายงานว่า ติดตั้งไว้ที่ไหนแล้วบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นภาครัฐ รัฐวิสาหกิจทำ เช่น การท่าอากาศยาน พอหมดสัญญาฉบับหน้าที่จะทำในเรื่องของรถลีมูซีนทั้งหลาย ก็น่าจะหันมาใช้รถที่เป็นอีวีมากขึ้น ส่วนปตท.ก็ดูเรื่อง ชาร์จจิ้ง สเตชัน
อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ ถ้ามองตามค่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ Manufacturing Production Index (MPI)แล้วในแง่โครงการผลิตจะมีความสำคัญเป็นอันดับ 2 ของภาคอุตสาหกรรมทั้งประเทศรองจากอุตสาหกรรมอาหาร จากเมื่อก่อนอุตสาห กรรมสิ่งทอมีบทบาท
**ชงครม.กลุ่มต่อไป
ผู้อำนวยการสศอ. กล่าวว่ากลุ่มต่อไปที่จะเสนอครม. พิจารณา เป็นหุ่นยนต์อัตโนมัติ ตามด้วยอาหาร และไบโออีโคโนมี 3 กลุ่มนี้ จะมาดูเรื่องสิทธิประโยชน์อื่นที่นอกเหนือจากบีโอไอให้ ควรจะเป็นด้านไหน เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันอาหาร ทำหน้าที่การวิจัยและพัฒนา ดูเรื่องนวัตกรรม ดูเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพ เรื่องการออกแบบบรรจุภัณฑ์ทั้งหลาย ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการเองอาจไม่ได้อยากได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี แต่อยากได้ห้องแล็บสำหรับให้โอกาสผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าไปใช้ทดสอบ โดยเป็นห้องแล็บที่รัฐบาลลงทุนและเปิดโอกาสผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อยเข้าไปใช้ประโยชน์มากขึ้น
สำหรับหุ่นยนต์อัตโนมัติ ก็น่าจะใช้หลักการเดียวกับยานยนต์ แต่อุตสาหกรรมนี้จะต่างกันตรงที่เป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน สิ่งที่เกิดขึ้นคือจะทำอย่างไรให้ผู้ใช้กับผู้ผลิตมาเจอกัน ผู้ผลิตก็ไม่รู้จะผลิตอย่างไร ถ้าผู้ใช้ไม่อยากใช้ ถามว่าคนไทยทำได้หรือไม่เรื่องของซิสเตมส์ อินดิเคชัน หรือ SI ตรงนี้คนไทยก็ทำได้ไม่ยาก แต่เพียงยังไม่เจอกัน ต้องทำให้ผู้ผลิตผู้ใช้มาเจอกัน เกิดการใช้งาน และเกิดการผลิต ที่อาจจะต้องมีเรื่องสิทธิประโยชน์มาจูงใจแต่ไม่ใช่มาตรการหลัก
“ยกตัวอย่างเช่น ภาคการเกษตร รัฐบาลบอกจะทำเกษตรแปลงใหญ่ ฉะนั้นการทำเกษตรแปลงใหญ่นั้น จะไปพึ่งพาธรรมชาติอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูเกษตรสมัยใหม่ ต้องมีตัวควบคุม จับอุณหภูมิ จับปริมาณนํ้า จับความชื้นและปริมาณแสงแดด และมาวัดค่าว่าควรจะต้องใส่ปุ๋ยอะไร ควรจะรดนํ้าในปริมาณแค่ไหน หรือควรให้เกิดความชื้นมากน้อยแค่ไหน เหล่านี้คือออโตเมชันทั้งหมด เป็นสิ่งที่จะต้องพัฒนาโดยภาคเกษตรเป็นผู้ใช้ ภาคอุตสาหกรรมเป็นผู้ผลิต ต้องทำให้ 2 ภาคนี้มาเจอกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน”
ผู้อำนวยการ สศอ. อธิบายให้เห็นภาพอีกว่า อย่างเช่น เวลานี้กลุ่มมิตรผลทำสมาร์ทฟาร์ม โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปลูกอ้อย ตัดอ้อย หรือแม้แต่ การปลูกอ้อยด้วยระยะห่าง เพื่อทำให้เกิดค่าความหวานมากขึ้น
**เล็งลดต้นทุนไบโอฯ
สำหรับไบโออีโคโนมี เช่น เรื่องของไบโอพลาสติกถ้าใช้วัตถุดิบแบบย่อยสลายได้ ก็จะมีต้นทุนที่สูง เพราะแพงกว่าพลาสติกธรรมดา ดังนั้นทำอย่างไรถึงจะลดต้นทุนในการทำไบโอพลาสติกลงได้ หรือผู้ใช้ได้คืนภาษี ซึ่งในระยะเริ่มต้นไบโอพลาส ติกยังผลิตได้ไม่มาก ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยอาจจะแพง แต่อนาคตเมื่อมีความต้องการเพิ่มขึ้น ผลิตได้มากขึ้นต้นทุนต่อหน่วยก็จะถูกลง ตรงนี้จะช่วยในรูปแบบไหนก็ต้องมาหารือกันต่อไป
นอกจากนั้นงานของสศอ.ในส่วนของข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึก ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ให้ไปปรับบทบาทของสศอ. จากเดิมทำเฉพาะวิเคราะห์ตัวเลขสถิติ ต่อไปก็ต้องปรับโดยนำข้อมูลมาใช้ในการคาดการณ์อนาคตอย่างแม่นยำ โดยข้อมูลนั้นต้องมาจากหลายๆ แหล่ง ยกตัวอย่างเช่น นายก. จะทำเรื่องสมาร์ทฟาร์ม ก็ต้องรู้ว่าแถบนั้นที่ดินเป็นแบบไหน มีสภาพอากาศอย่างไร เหล่านี้คือ Big Data คือการที่มีข้อมูลปริมาณมากๆ รวมถึงการมีตัวคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อจะได้กำหนดทิศทางในอนาคตได้ เหมือนอย่างตอนนี้กล้องดิจิตอลกำลังถูกสมาร์ทโฟนมาแย่งตลาด
“สิ่งที่คือการขับเคลื่อนที่สศอ.ต้องการสนองต่อนโยบายรัฐ เริ่มจากการปรับการทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น เป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น สามารถตรวจสอบได้ กำหนดทิศทางได้มากขึ้น และจะต้องทำงานให้เป็นทีม ทำเรื่อง Human Resource Management (การบริหารทรัพยากรมนุษย์)มากขึ้น เพื่อสร้างคนให้ก้าวหน้า เพื่อให้คนในสศอ.สามารถเป็นหน่วยงานเสนาธิการของกระทรวงอุตสาหกรรมได้มากขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,273 วันที่ 25 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560