ไทยแลนด์ 4.0!!!
ต้องบอกว่านี่คือ “คำฮิตติดหู” สังคมไทยยุคนี้โดยแท้ ภาครัฐหรือเอกชนต่างเอาคำดังกล่าวไป “ห้อยท้าย” ประกอบชื่อโครงการอยู่เสมอ เนื่องจากเป็น “นิยามการพัฒนาประเทศ” ที่รัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึงอยู่บ่อยครั้ง และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคยอธิบาย “นิยาม” ของไทยแลนด์ 4.0 ไว้เมื่อยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
ดร.สุวิทย์ อธิบายว่า ยุคแรกเริ่มของเศรษฐกิจไทย หรือ “ไทยแลนด์ 1.0” หมายถึง “สังคมเกษตรกรรม” ครัวเรือนไทยยังเน้นปลูกข้าว พืชสวน พืชไร่ เลี้ยงหมู เป็ด ไก่ นำผลผลิตเก็บไว้บริโภคยังชีพส่วนหนึ่ง แบ่งไปขายสร้างรายได้อีกส่วนหนึ่งสะท้อน “ความอุดมสมบูรณ์” ของภูมิประเทศดังสำนวน ในนํ้ามีปลา...ในนามีข้าว!!!
ต่อมาเมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมสมัยใหม่ผู้คนทยอยอพยพเข้าสู่เมืองมากขึ้น เรียกว่า“ไทยแลนด์ 2.0” เศรษฐกิจเริ่มเปลี่ยนผ่านจากเกษตรกรรม สู่ “อุตสาหกรรมเบา” งานที่แต่เดิมเคยเป็น “หัตถกรรม” ทำด้วยมือ มาเป็นการนำเครื่องจักรมาเสริมแรงงานคน ให้ผลิตได้เป็นจำนวนมากและรวดเร็ว แต่เทคโนโลยียังไม่ซับซ้อนนัก อาทิ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า
ถัดจากนั้น เมื่ออุตสาหกรรมขยายตัวมากขึ้น เรียกว่า “ไทยแลนด์ 3.0” เริ่มเข้าสู่ยุค “อุตสาหกรรมหนัก” ที่ใช้ความรู้และเครื่องจักรกลซับซ้อน อาทิ ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมต้นน้ำอย่างปิโตรเคมี (น้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ) ผลิตเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเราอยู่ในเศรษฐกิจยุค 3.0
และในยุคต่อไปคือ เศรษฐกิจยุค 4.0 ดร.สุวิทย์ อธิบายว่า มีหัวใจสำคัญ 3 ประการ คือ 1.เปลี่ยนจากสินค้าโภคภัณฑ์ไปสู่สินค้านวัตกรรม 2.เปลี่ยนจากขับเคลื่อนประเทศ ด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ 3.เปลี่ยนจากเน้นภาคการผลิตสินค้า ไปสู่การเน้นภาคบริการมากขึ้น ซึ่งนั่นก็คือนิยามของไทยแลนด์ 4.0 ที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งพัฒนาให้เกิดขึ้น
ทำไมสังคมไทยต้องใส่ใจกับไทยแลนด์ 4.0?...เพราะที่ผ่านมา ในทางเศรษฐศาสตร์มีคำว่า “กับดักรายได้ปานกลาง” ซึ่งหมายถึง “ทางตัน” ในการพัฒนาประเทศ “กลับตัวก็ไม่ได้” เนื่องจากประชากรมีระดับการศึกษาสูงขึ้นพร้อมๆ กับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้น ไม่อาจลงไปแข่งกับประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาที่ค่าแรงต่ำกว่าได้อีก
ทว่า “เดินต่อไปก็คงไม่ถึง” เพราะประชากรยังขาด “ทักษะ-ความรู้” ในการทำงานที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคอนาคต และไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ติดกับดักนี้มานานหลายปี ทำให้ยังไม่อาจ “ก้าวข้าม” ไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ผู้คนมีรายได้สูงด้วยสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มจากนวัตกรรม
เวทีเสวนา “ประเทศไทย 4.0 ผลกระทบเชิงสังคมและวัฒนธรรม” ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร.วรากรณ์สามโกเศศ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้ข้อคิดว่า ประเทศไทย 4.0 หรือไทยแลนด์ 4.0 เป็นแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ที่จะทำอย่างไรที่จะมีเป้าหมาย “มั่นคง-มั่งคั่ง-ยั่งยืน” แต่ประเทศไทยจะไปถึง 4.0 ได้หรือไม่? ปัจจัยสำคัญคือ “ความคิดสร้างสรรค์” เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ โดยผ่านกระบวนการวิจัย
“ประเทศไทย 4.0 ไม่ได้หมายถึงการปฏิรูปประเทศเท่านั้น แต่หมายถึงจะทำอย่างไรให้รายได้ของคนในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจที่เปลี่ยนฐานธรรมดาให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้น เสียเวลาเท่ากันแต่มีมูลค่ามากยิ่งขึ้น” อดีตอธิการบดี ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าว
เช่นเดียวกับที่งาน CEO Innovation Forum 2017 “นวัตกรรมนำไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว” ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด ห้วยขวาง กรุงเทพฯ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวงวิทย์ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการนำเอาวิทยาศาสตร์มาใช้ขับเคลื่อนประเทศในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ “ยุทธศาสตร์ด้านวิจัยและนวัตกรรม” และได้กำหนดมาตรการแรงจูงใจ เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา
อาทิ มาตรการด้านยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่าย RDI 300% สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม กองทุนสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม จำนวน 2,500 ล้านบาท กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ร่วมดำเนินการกับ BOI มาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งและผลิตภาพของเอสเอ็มอี ทั้ง iTAP ที่ช่วยสนับสนุน SMEs เพิ่มมูลค่าทางเทคโนโลยีสู่ตลาดโลก
การพัฒนานวัตกรรมสำหรับ SME มาตรการผลิตและพัฒนากำลังคนที่ใช้นวัตกรรมเข้มข้นผ่านโครงการ “โรงเรียนในโรงงาน” ที่ถอดความรู้ด้านอุตสาหกรรมมาสอนนักเรียนสายอาชีวะ ที่ให้เรียนและปฏิบัติงานจริงในโรงงานไปด้วยในเวลาเดียวกัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อกิจกรรมวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีโครงการนำร่องไปแล้วคือ “เมืองนวัตกรรมอาหาร” และสุดท้ายคือ สนับสนุนให้มีเกิดการอุดหนุนผลงานนวัตกรรมของไทย โดยการอนุญาตให้หน่วยงานรัฐดำเนินการด้วยวิธีพิเศษ หากจัดซื้อจัดจ้างนวัตกรรมที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย
ที่ผ่านมามักมีเสียง “ค่อนขอด” อยู่เสมอว่าสังคมไทยไม่ส่งเสริมงาน “วิจัยและพัฒนา” (Research & Development-R&D) เท่าที่ควร มีการเปรียบเทียบงบประมาณ R&D ระหว่างไทยกับประเทศเอเชียอื่นๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ซึ่งบ้านเรามีสัดส่วนน้อยกว่าประเทศเหล่านั้นอย่างไรก็ตาม ดร.กิติพงศ์ พร้อมวงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.)กล่าวว่า ปีหลังๆ มานี้ ประเด็นดังกล่าว “เปลี่ยนแปลง”ดีขึ้นมาตามลำดับ
อาทิ ในปี 2557 ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีการลงทุน R&D ทั้งสิ้น 63,490 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.48 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) แต่ในปี 2558 ขยับขึ้นมาเป็น 84,671 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.62 ของ GDP กลุ่มที่พบการลงทุน R&D สูง คือ“อุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์และเคมี” โดยในปี 2558 มีการลุงทุนเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่าน มากถึงร้อยละ 73 นับเป็นสัญญาณที่ดีว่าภาคเอกชนให้ความสนใจด้านวิจัยและพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ จึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า สิ้นปี 2561 ไทยน่าจะมีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาถึง “ร้อยละ 1”ของ GDP
เมื่อไปดูจำนวนบุคลากร พบว่า ในปี 2558 เอกชนมีจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนามากขึ้นเป็น 89,617 คิดเป็นสัดส่วน 13.6 คนต่อประชากร 10,000 คน และสัดส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนในปี 2558ที่ผ่านมามีมากถึง ร้อยละ 55 มากกว่าภาครัฐที่มีเพียงร้อยละ 45 และนักวิจัยในภาคเอกชนเป็นระดับปริญญาตรี ร้อยละ 88 ปริญญาโท ร้อยละ 10 และปริญญาเอก ร้อยละ 2
“จากตัวเลขบ่งบอกว่าภาคเอกชนในบ้านเราหันมาให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากขึ้น เหตุผลเพราะการวิจัยและพัฒนาสามารถเพิ่มรายได้ให้กับองค์กรเขาได้ ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในบ้านเราที่ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาก็จะเห็นตัวเลขที่ชัดเจนว่า ยิ่งลงทุนด้านนี้มากเท่าไรรายได้หรือผลประกอบการของบริษัทก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” เลขาธิการ สวทน. ระบุ
จากข้อมูลดังกล่าวของ สวทน. แม้จะเป็นเรื่องดีที่เอกชนไทยปรับตัวกันได้อย่างรวดเร็ว แต่การเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้นั้นต้องไปกัน “ทุกภาคส่วน” อาทิ เกษตรกรที่ต้องเป็น “Smart Farmer” ใช้เทคโนโลยีวางแผนการเพาะปลูก แรงงานที่ต้องเป็น “Skill Labour” มีฝีมือมีทักษะการทำงานสูง รวมถึงกิจการรายย่อย (SMEs) ต้องเปลี่ยนจากการค้าขายแบบเดิมๆ นำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการมากขึ้น ซึ่งเมื่อดู “ความเข้าใจ” ของคนไทย พบว่า...
น่าห่วง!!!
ดังที่ “ธุรกิจบัณฑิตย์โพล” มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยผลสำรวจประชาชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,033 คน เมื่อเดือน มี.ค. 2560 พบว่า กลุ่มตัวอย่างถึง ร้อยละ 59.66 “ไม่เข้าใจ” ว่าอะไรคือไทยแลนด์ 4.0 และในจำนวนนี้ ร้อยละ 38.22 “ไม่รู้เรื่องเลย” ส่วนร้อยละ 21.44 ทราบว่ารัฐบาลมีเป้าหมายนี้ แต่ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
เช่นเดียวกัน..อีกคำหนึ่งที่รัฐบาลมักพูดถึงบ่อยๆ คือ “สตาร์ทอัพ” (Start Up) พบว่ามีกลุ่มตัวอย่างเพียง ร้อยละ 32.94 เท่านั้นที่รู้ว่าสินค้าหรือบริการใดเป็นสตาร์ทอัพ นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังค่อนข้าง “ไม่มั่นใจ” ในคุณภาพของสินค้าและบริการจากธุรกิจประเภทดังกล่าว ฉะนั้นแล้วนี่จึงเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่รัฐบาลต้องนำกลับไปทบทวน ว่าจะทำอย่างไรให้สังคมไทย...
“ตื่นตัว” กว่าที่เป็นอยู่!!!