ตอนแรกที่ได้อ่าน“เรื่องนี้”อย่างละเอียด ของประเทศเนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์ ก็ได้แต่คิดวนไปมาครับว่า อะไรบ้างเป็นปัจจัยอุปสรรคที่เราไม่สามารถเป็นประเทศแชมเปี้ยนทางการเกษตรได้...
เราลองมาดูเขาดูเรากันครับว่า เนเธอร์แลนด์นั้นทำได้เพราะอะไร ทำไปถึงไหนแล้ว และต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง
ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ Netherlands คนอาจเรียกติดปากว่า ฮอลแลนด์ แบรนด์ของประเทศนี้คือ สีส้ม กังหัน และดอกทิวลิป ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การส่งออกไม้ดอกไม้ประดับที่ได้ราคาดี เป็นสินค้าเกษตรส่งออกหลัก รายได้มหาศาล และยังใช้พลังงานลมโดดเด่นอีกด้วย
เนเธอร์แลนด์ มีประชากร 17 ล้านคน น้อยกว่าไทยประมาณ 4 เท่าตัว แต่มี จีดีพีต่อหัว หรือรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคน สูงถึง 5 หมื่นเหรียญดอลลาร์ ในขณะที่ไทยเราอยู่ที่แค่ 5 พันกว่าๆ เท่านั้นมากกว่าเรา 10 เท่าตัว
แน่นอนรายได้ของเนเธอร์แลนด์มาจากหลายแหล่ง แต่ภาคการเกษตรนั้นโดดเด่นมากๆ มีรายได้ภาคการเกษตรส่งออกสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกาแต่ว่าอเมริกานั้นใหญ่กว่ามาก ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นคือ ใช้คนแค่ 4% ของประเทศในการทำกิจกรรมทางการเกษตร พูดง่ายๆ คือ ใช้คนน้อยมากในการทำเกษตร แต่สามารถทำยอดรายได้ส่งออกได้สูงถึง 21% ของส่งออกรวม
ส่วนของไทย ใช้คนกว่าครึ่งประเทศไปกับภาคการเกษตร แต่มีรายได้จากภาคการเกษตรเพียงไม่ถึง 10% ของ GDP และที่เป็นปัญหามาตลอดคือ รายได้ภาคการเกษตรตกต่ำมาก และกลุ่มเกษตรกรก็ยังคงเป็นกลุ่มที่ยากจนเรื้อรังอยู่อย่างที่เห็นทุกวันนี้ แต่กระนั้นก็ตาม โอกาสของเรายังมีครับ !!
เมื่อผมลองหาข้อมูลดู ปรากฏว่า ท่านอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ ดร.วีรชัย พลาศรัยเคยเขียนงานเล่าเรื่องภาคเกษตรของประเทศนี้เอาไว้ผมขออนุญาตสรุปจากงานเขียนของท่านดังนี้ครับ
ท่านทูตบอกว่า น่าทึ่งมากสำหรับเนเธอร์แลนด์ ทั้งที่เป็นประเทศเล็กๆ แต่สามารถส่งออกไม้ดอกไม้ประดับในโลกนี้ 1 ใน 3 ของไม้ดอกไม้ประดับนั้นมาจากเนเธอร์แลนด์ ส่วนผักจำนวนมากปลูกในเรือนกระจก เนื่องจากเป็นเมืองหนาวก็ต้องคุมอุณหภูมิ ใช้แรงงาน แสนกว่าคน แต่ปลูกผัก ผลไม้มูลค่ากว่า 4.5 ล้านยูโรต่อปี โดย 80% ของผลผลิตส่งออกไปขายต่างระเทศ สาเหตุหลักที่ เนเธอร์แลนด์มาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะ “งานวิจัย” โดยภาครัฐให้ความสำคัญมากต่อการวิจัยสาขาการเกษตรและชีวเทคโนโลยี โดยสามารถนำไปใช้พัฒนาต่อทางการค้า การพาณิชย์ได้จริงๆ และมีการคุ้มครองการลงทุนจริงจัง มีบทบาทสำคัญร่วมกำหนดกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์พืช โดยในสหภาพยุโรปนั้น สัดส่วนการจดทะเบียนคุ้มครองมาจากเนเธอร์แลนด์สูงถึง 43% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ภาครัฐสนับสนุนมากอย่างเป็นระบบ!ย้ำตรงที่อย่างเป็นระบบครับ มีประสิทธิภาพทุกขั้นตอนการค้นคว้า การผลิต และการจำหน่ายสินค้าเกษตร
ภาครัฐจะคอยเจรจาทางการค้ากับประเทศคู่ค้าเอื้อต่อการทำงานของประชาชนในชาติอย่างมาก และอีกสาเหตุที่รัฐทำจนสำเร็จและตอบโจทย์ที่สุดเลยนั้นคือ “สาธารณูปโภคด้านโลจิสติกส์”
......................
ผมขอนำมาสรุปเป็น 4 ข้อสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งทำเพื่อเป็นยุทธศาสตร์ของชาติในระยะยาวสำหรับการพัฒนาสินค้าเกษตรของเราครับ
ปัจจัยสำคัญ
1.งานวิจัยสาขาเกษตร-เทคโนโลยีเกษตร อย่างของเนเธอร์แลนด์ เขามีมหาวิทยาลัยทางเกษตรที่มุ่งเน้นพัฒนาการเกษตรจริงจัง มีการสนับสนุนการวิจัย มีการสนับสนุนทุนการศึกษา และที่สำคัญมีการนำงานวิจัยไปใช้ได้จริงผ่านบริษัททางการเกษตรที่ประสบความสำเร็จมากกว่า 4 พันบริษัททั่วประเทศ ส่วนของไทยยังดูไม่ออกว่าความจริงจังอยู่ในระดับใด งบวิจัยภาครัฐก็ไม่ค่อยสนับสนุน มหาวิทยาลัยที่เด่นด้านการเกษตรก็ดูจะเบนเข็มไปแนวเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ แทนที่จะเน้นด้านเกษตรให้ชัดกว่าใคร นักวิจัยกับผู้ปฏิบัติก็จับมือกันไม่ค่อยคลิกเท่าไหร่ เราขาดตัวเชื่อมโยงตรงนี้มาก
2.ระบบเครือข่าย และการจัดการน้ำ เนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศที่น้ำท่วมตลอดเวลา พื้นที่ 20% ของประเทศต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่เขาก็เอามาเป็นจุดแข็งได้ มีโครงการ Delta flood มาใช้เป็นการบริหารจัดการน้ำ จนเป็นรูปแบบของประเทศริมทะเลทั่วโลก มีการคุมน้ำเข้าออก มีการใช้ประโยชน์จนกระทั่งทำให้ปลูกพืชเกษตรได้อีกมากที่สำคัญเข้าใจหลักธรรมชาติของหลักการน้ำท่วม น้ำขึ้นน้ำลง น้ำหลาก น้ำแล้ง และปรับใช้ได้ดี เมื่อย้อนกลับมาไทย เรายังคงงงงวยกับระบบผังเมืองที่หน่วยงานท้องถิ่นสักแต่จะสร้างอะไรก็สร้าง คนใหญ่โตขอทำอะไรขวางทางธรรมชาติได้เสมอ การอนุมัติง่ายได้ ไม่ได้คำนึงถึงนิเวศน์ใดๆ ทั้งสิ้นจนเป็นปัญหาน้ำท่วมเรื้อรังทุกปี เยียวยาทุกฤดูกาล วนไปเรื่อยๆ แบบนี้แต่ไม่ได้คิดระบบการแก้ปัญหาระยะยาว
3.โลจิสติกส์ดีและเอื้อต่อการส่งออกสินค้าเกษตร แน่นอนสินค้าเกษตรพูดง่ายๆ คือ “เน่าง่าย” ถ้าการขนส่งไม่ไว ไม่มีระบบการจัดเก็บและเตรียมขนส่งให้พร้อม ก็จะยากและขายได้ไม่แพง เนเธอร์แลนด์พัฒนาระบบการขนส่งผ่านท่าเรือใหญ่รอตเตอร์ดัม วันต่อวันส่งสินค้าเกษตรเชื่อมทางบก ทางราง ออกทางน้ำและอากาศได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ของไทยเรา กระทรวงคมนาคมต้องตั้งโจทย์เชื่อมกับยุทธศาสตร์การค้าขายของรัฐบาลเป็นหลัก ปัจจุบันยังคงเป็นลักษณะว่า ยึดแต่หลักการทางคมนาคมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มองมิติอื่นๆ เช่น การค้า การลงทุน หรือเน้นความเชื่อมโยงมากเท่าไหร่ แต่ถึงจะยังคงเป็นแบบนี้อยู่ก็เรียกได้ว่า หอยทากมากทีเดียว
4.ภาครัฐสนับสนุนอย่างมาก อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วถึงความตั้งใจจริงจังของภาครัฐในหลายๆ เรื่อง กับการเน้นการส่งออก การพัฒนาสินค้าเกษตรของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปีล่าสุดได้มีการลงนามกับ World Bank ลงนามว่าด้วยข้อตกลง Food For All คล้ายๆ ครัวโลกนั่นแหละครับ แต่ของเขาคือทำในลักษณะยั่งยืนว่า ต่อให้เกิดภัยพิบัติใดๆ ในโลก ก็จะยังมีอาหารเพียงพอเลี้ยงคนในโลกได้ เริ่มจากยุโรปภูมิภาคนั้นก่อน แล้วก็จะมีการส่งต่อด้านพัฒนาการทางการผลิตไปประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาอื่นๆ อย่างของไทยเราก็ได้เขามาช่วยสอนเรื่องระบบน้ำหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ
เมื่อใดก็ตามที่หน้าข่าวในสื่อหลักๆ เลิกลงข่าวการอุดหนุนเกษตรกรรายปี งบฉุกเฉินรายฤดูกาล มีการวางแผนระยะยาวในการพัฒนาภาคการผลิตทั้งระบบจาก 4ปัจจัยนี้เมื่อนั้นเราจะเห็นแสงสว่างของพี่น้องเกษตรกรไทยครับ
ประเทศไทยติดกับดักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาแล้วที่อย่างน้อยเรื่องนี้อีกสักเรื่องหนึ่งที่จะเป็นโมเดลแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาวตอบโจทย์ให้ประเทศของเรา ภาคการเกษตรของไทยเราเกี่ยวโยงกับประชาชน 20 ล้านคนโดยประมาณ ดังนั้นถ้าแก้ปัญหาปากท้องของคนกลุ่มนี้ได้อย่างแรก อีกหลายเรื่องดีๆ จะตามมาอย่างแน่นอนครับ