นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทพัฒน์กล เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทจึงมีแผนที่จะรุกตลาดนี้มากขึ้นโดยเข้าไปตั้งสำนักงานทุกประเทศและตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี จะเพิ่มยอดขายในแต่ละประเทศให้ได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปีอย่างมีเสถียรภาพ
พร้อมกันนี้ได้ส่งบางธุรกิจใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัท ได้แก่ 1.ธุรกิจเครื่องทำน้ำแข็ง 2.ธุรกิจเครื่องทำความเย็น 3.ธุรกิจเครื่องจักรแปรรูปอาหารเหลว เช่น อุตสาหกรรมนม น้ำผลไม้ เบียร์ และ 4.ธุรกิจเครื่องจักรแปรรูปอาหารแข็ง เช่น โรงงานแปรรูปปลาทูน่ากระป๋อง โรงงานกุ้งครบวงจร เข้าไปเปิดตลาด เช่น เวียดนาม ใช้ธุรกิจเครื่องจักรแปรรูปอาหารเหลวเข้าไปเจาะตลาด, เมียนมาใช้ธุรกิจเครื่องจักรแปรรูปอาหารแข็งเจาะตลาด ส่วนกัมพูชา และลาว ใช้เครื่องทำน้ำแข็งเข้าไปเจาะตลาด
สำหรับอุปสรรคสำคัญในกลุ่มซีแอลเอ็มวี ก็คือการแข่งขันกับสินค้าจีนที่มีราคาต่ำกว่า เช่น ตลาดเวียดนาม ระบบของสถาบันการเงินยังไม่มีการปล่อยกู้อย่างแพร่หลาย ทำให้ลูกค้าต้องนำเงินสดมาซื้อเครื่องจักร จึงเลือกเครื่องจักรจากจีนที่มีราคาถูกก่อน แต่ขณะนี้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยน เวียดนามมีการปรับตัวในเรื่องของสถาบันการเงินมีการจดทะเบียนเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 ปี ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ที่ดิน เครื่องจักรมาวางค้ำประกันเงินกู้ได้ทำให้มีเงินลงทุนซื้อเครื่องจักรที่มีราคาแพงได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสินค้าของบริษัทที่มีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่งจากจีน
บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี จะเพิ่มหน่วยธุรกิจในแต่ละประเทศ และภายใน 5 ปีนับจากนี้ในประเทศซีแอลเอ็มวี จะมีทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของบริษัทเข้าไปบุกตลาด นอกจากนี้จะพิจารณาว่าในแต่ละประเทศสามารถเข้าไปตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรชนิดใดได้บ้าง เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เพราะจะมีต้นทุนต่ำกว่าสินค้าที่นำเข้า การที่จะเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในแต่ละประเทศน่าจะเกิดขึ้นได้หลัง 5 ปีนับจากนี้
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทที่มาจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีที่ผ่านมา มี 20% ของรายได้ทั้งหมด 3.7 พันล้านบาท ส่วนในปี 2560 คาดว่ารายได้จากตลาดอาเซียนจะโตประมาณ 10% ตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 30% ตลาดภายในประเทศจะลดเหลือ 70% และขยายตัวไม่มากประมาณ 5% เท่ากับปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเข้าไปรุกตลาดเอเชียใต้, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา, อเมริกาเหนือ และใต้, และยุโรป ซึ่งในประเทศเหล่านี้ มีตัวแทนจำหน่ายของบริษัทแล้ว หลังจากนี้จะส่งหน่วยธุรกิจที่เหมาะสมเข้าไปเจาะแต่ละประเทศ โดยส่งคนเข้าไปประจำประสานความร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายทำธุรกิจร่วมกัน คาดว่าจะตั้งสำนักงานได้ครบภายใน 3 ปี ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทำธุรกิจไปทั่วโลกกว่า 50 ประเทศทั่วทุกทวีป รายได้หลักมาจากกลุ่มอาเซียนเดิมได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ คิดเป็น 70% ของรายได้จากต่างประเทศ กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี มีสัดส่วนประมาณ 20% ที่เหลืออีก 10% จะเป็นประเทศอื่นๆ
บริษัทยังได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในไทยประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 20% รองรับการขยายตัวของตลาดได้อีกประมาณ 3 ปี คาดว่า โรงงานใหม่จะสร้างเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2561 รวมทั้งจะเพิ่มงบด้านการวิจัยพัฒนา จากเดิมที่ใช้งบประมาณ 1% ของรายได้ทำการวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยจะเพิ่มเป็น 3% ภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือในแต่ละกลุ่มธุรกิจจะต้องจดสิทธิบัตรเครื่องจักรใหม่ได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ตัว รวมทั้ง 4 ธุรกิจก็จะมีสิทธิบัตรเครื่องจักรใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่าปีละ 8 ตัว/ปี