สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

แปรหลักคิด’เศรษฐกิจพอเพียง’ สู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 8
08/11/2016
ข่าวเศรษฐกิจ
เมื่อไม่นานมานี้สหประชาชาติยกย่องแนวทาง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ เป็นแนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก แต่ในบ้านเราได้ปรากฎชัดอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 หรือกว่า 20 ปีมาแล้ว



น.พ.พลเดช ปิ่นประทีป หรือ “หมอพลเดช” เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คลุกคลีทำงานกับภาคพลเมืองมาอย่างยาวนาน เปิดประเด็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้น่าสนใจ

โดยย้อนความให้ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีพระราชดำรัสเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาตั้งแต่ปี 2517

“เวลานั้นยังไม่มีใครเข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร พระองค์มีพระราชดำรัสไว้กว่า 17 ปี ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะตกต่ำถึงขีดสุดในปี 2540 จากวิกฤติต้มยำกุ้ง

จากหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระองค์ท่านพูด หลายคนได้ยินแต่ไม่เข้าใจ ไม่ใส่ใจ กระทั่งเกิดวิกฤติปี 2540 จึงได้เริ่มเข้าใจ เปรียบเหมือนปรัชญาจากฟ้าที่พระองค์ท่านส่งสัญญาณบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่มีใครได้ยิน กระทั่งเกิดเหตุการณ์วิกฤติครั้งนั้นจึงได้เห็นคุณค่า หมอพลเดช ระบุ
10 ปีถัดมาเกิดวิกฤติซับไพรม์ขึ้นในสหรัฐอเมริกา หลายประเทศในเอเชียประสบภาวะยากลำบาก ขณะที่ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันมาจากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก สามารถประคับประคองตัวมาได้ เพราะได้มีการปรับเปลี่ยนมายด์เซตกันครั้งใหญ่เมื่อปี 2540

ขณะที่อีกมุมหนึ่งของภาคพลเมือง ชุมชนคนรากหญ้า ปรากฏความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยหมอพลเดช เล่าว่า เวลานั้นนโยบายประเทศที่มุ่งเน้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (Mono Crop) ซึ่งเริ่มดำเนินมาตั้งแต่ปี 2528 ทำให้ประชาชนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ใช้ปุ๋ยและสารเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิต ส่งผลกระทบกับสุขภาพ

“ผมซึ่งจบการศึกษา และไปทำงานอยู่ในชนบท เป็นแพทย์ชนบทดูแลรักษาชาวบ้าน ทำงานปลายทางจึงเห็นตรงกันว่า การพัฒนาแนวทางนี้ไม่ยั่งยืนจึงเริ่มค้นหาคำตอบของการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า มีแนวทางใดได้บ้าง ก่อเกิดงานศึกษาวิจัยจุดเล็กๆขึ้นในหลายพื้นที่ เราพบว่า ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นด้านการตลาด ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่คล้อยไปกับกระแสยังทำเศรษฐกิจแบบพอเพียงจนเกิดกลุ่มคนที่เรายกย่องว่า “ปราชญ์ชาวบ้าน” กระจัดกระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ

คนกลุ่มนี้ผ่านการต่อสู้กับปัญหาหนี้สินและสามารถปรับตัวให้อยู่รอดมาได้ พวกเราซึ่งเวลานั้นมี หมอประเวศ วะสี อ.เสน่ห์ จามริก และอ.ระพี สาคริก จึงก่อตั้งมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนาขึ้นในปี 2528 เพื่อสนับสนุนให้ทุนกลุ่มเอ็นจีโอทำงานวิจัยเกี่ยวกับวิธีการของปราชญ์ชาวบ้านเหล่านี้ เกิดกรณีศึกษาต่างๆจำนวนมากและมีพัฒนาการเรื่อยมา กระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ยิ่งทำให้เราเห็นคุณค่าของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาทางสายกลาง และการทำเกษตรผสมผสานแบบปราชญ์ชาวบ้านยิ่งขึ้น

เมื่อปรัชญาจากฟ้าของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ บรรจบกับความรู้จากแผ่นดิน คือ ปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน ได้สร้างความแข็งแรงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ดังนั้น นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา งานชุมชน งานภาคประชาสังคมจึงค่อยๆขยายตัวและเป็นที่ยอมรับกว้างขวางมากขึ้น ต่างจากก่อนหน้าที่ทั้งนักวิชาการ รัฐบาล และข้าราชการต่างปฏิเสธ รวมถึง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดทำแผนใช้เป็นกรอบและแนวทางในการพัฒนาประเทศในแต่ละช่วงๆละ 5 ปี ต้องการพาเดินไปทางหนึ่ง แต่ภาคประชาสังคมเดินทวนน้ำ

อย่างไรก็ดี ในปี 2537 นับเป็นจุดหักเลี้ยวสำคัญของแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน“เป็นจังหวะที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล มาเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ ได้จับมือร่วมกับหมอประเวศ อ.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และอ.เสน่ห์ (จามริก) ซึ่งขณะนั้นเป็น บอร์ดสภาพัฒน์ ได้ร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาชาติฉบับที่ 8 ขึ้น ซึ่งเป็นที่กล่าวขานมาถึงวันนี้ว่า เป็นช่วงหักเลี้ยวของแผนพัฒนาชาติ เพราะนับตั้งแต่แผนฯฉบับที่ 1 – 7 จะใช้เศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง แต่ในแผนฯฉบับที่ 8 (ระหว่างปี 2540-2544) ใช้สังคมเป็นตัวตั้ง เรื่อยมาจนถึงฉบับปัจจุบัน หรือ ฉบับที่ 12 ต่างยึดหลักการนี้ทั้งหมด” หมอพลเดช ย้ำ

ห้วงเวลานั้นนับเป็นความท้าทายอย่างมาก แต่เมื่อสามารถผลักดันเข้าไปเป็นแผนชาติที่รับรองโดยรัฐบาล ส่งผลให้กระทรวง ทบวง กรม ต้องจัดทำแผน ทำโครงการให้สอดรับกับหลักการณ์ดังกล่าวเพื่อให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณมาดำเนินการ ผนวกกับเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาพอดีจึงไม่เกิดแรงต้านมากนัก

อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ใช้สังคมเป็นตัวตั้งอยู่ในสภาวะค่อยๆขยับกลับตัว ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศเพิ่งผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจมา การขับเคลื่อนจึงเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากประเทศไม่มีเงิน แต่ในทางหลักการและทิศทางต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ถือปฏิบัติเรื่องนี้เอาไว้แล้ว กระทั่งได้แรงส่งจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่หมอพลเดช ยกให้เป็น รัฐธรรมนูญสายพันธุ์ใหม่ เพราะเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม “รัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตัวแทนอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพราะฉะนั้น ทั้งแผน 8 และรัฐธรรมนูญปี 2540 จึงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการต่างๆที่จะของบประมาณต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม นี่คือ ในเชิงหลักการ แม้ว่าความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่จะร่วมแบบพอเป็นพิธี ขาดจิตสำนึกของข้าราชการที่ยังไม่เปลี่ยนมายด์เซตซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นองคาพยพใหญ่ต้องใช้เวลา” หมอพลเดช กล่าวสะท้อนความเห็น

อย่างไรก็ดี ได้เห็นท่าทีของข้าราชการต่างๆที่เริ่มปรับเปลี่ยนไป เข้าสู่แผนฯฉบับที่ 8 แผนฯฉบับที่ 9 จนถึงแผนฯ ฉบับที่ 10 ข้าราชการเริ่มมีท่าทีที่ดีขึ้น ได้เห็นข้าราชการที่เข้าใจและร่วมทำงานกับประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าบางส่วนจะยังไม่ลงมาคลุกคลีทำงานกับประชาชน แต่วันนี้ก็ไม่ปฏิเสธ มีท่าทียอมรับมากขึ้น

“ถึงวันนี้ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กลายเป็นอุดมการณ์ที่ต่างก็ยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ดี เป็นพลังพลเมือง พลังของประเทศที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศ ไม่ใช่พลังจากภาคราชการเพียงอย่างเดียว แต่มีทั้งพลังจากภาคธุรกิจ และพลังจากภาคประชาชนที่ต้องช่วยกัน..”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,205 วันที่ 30 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2559
ที่มาของข่าว: ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.