อานิสงส์โครงการรัฐส่งธุรกิจเครื่องจักรกลคึก “โคมัตสุ” เล็งฉลองครบรอบ 60 ปีอัดแคมเปญใหญ่ ด้านดีเคเอสเอช ประกาศได้สิทธิ์แบรนด์ เจซีบี เตรียมงัดจุดแข็งหวังขยายฐานลูกค้า มั่นใจใน 5 ปีครองมาร์เก็ตแชร์ 10%
จากการสำรวจพบว่า ภาพรวมธุรกิจเครื่องจักรกลหนักในช่วงไตรมาส 4 มีความคึกคัก เนื่องจากโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค หรือเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆของภาครัฐ เริ่มเดินหน้า และส่งสัญญาณบวกต่อตลาด ทำให้ธุรกิจนี้มีความเคลื่อนไหวอย่างมาก โดยมีการเปิดตัวผู้นำเข้ารายใหม่ การทำแคมเปญโปรโมชัน พร้อมทั้งแผนลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ บริษัท บางกอกโคมัตสุเซลส์ จำกัด หนึ่งในกลุ่มสยามกลการ ผู้ผลิตและนำเข้า-ส่งออกรถขุดตัก ภายใต้แบรนด์โคมัตสุ ( KOMATSU ) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อฉลองครบรอบ 60 ปีในประเทศไทย และมีการจัดทำแคมเปญครั้งแรกและครั้งเดียวในรอบ 60 ปี ในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนั้นแล้วยังมีการรุกตลาดต่างประเทศ อาทิ กัมพูชา ส่งผลให้การดำเนินงานของโคมัตสุในปีนี้มีการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนอีกหนึ่งแบรนด์ “เจซีบี” เดิมทีบริหารงานภายใต้บริษัท สยามมอเตอร์ แมชชีนเนอรี่ฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มสยามกลการ ได้มีการปรับเปลี่ยนโดยจับมือกับพันธมิตรรายใหม่อย่าง ดีเคเอสเอช DKSH ที่ได้รับสิทธิ์ดูแลการขาย ชิ้นส่วนอะไหล่และบริการหลังการขายในประเทศไทย โดยนายจารึก มีขันทอง รองประธานกรรมการบริหาร หน่วยธุรกิจเทคโนโลยี บริษัท ดีเคเอสเอช(ประเทศไทย)จำกัด เปิดเผยว่า การร่วมมือกันครั้งนี้ จะใช้ทั้งจุดเด่นของบริษัทที่มีความรู้เชิงลึกในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง และใช้จุดเด่นของตัวสินค้าเจซีบี ที่ได้รับการยอมรับในภาคอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก
โดยเบื้องต้นจะทำการขยายตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมีแนวโน้มที่เติบโต เป็นผลมาจากนโยบายการขับเคลื่อนประเทศของภาครัฐและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้ทำให้เกิดโครงการต่างๆและเกิดความต้องการใช้เครื่องจักรกลหนักในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับกลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้คือ การชูจุดเด่นผลิตภัณฑ์ ที่ครอบคลุม ,การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า รวมไปถึงให้ความสำคัญด้านบริการหลังการขาย ซึ่งบริษัทได้มีการขยายเครือข่ายได้แก่ ที่จังหวัดลำปาง,ขอนแก่น,อยุธยา,สุราษฎร์ธานี และมีรถโมบายสำหรับให้บริการลูกค้า 29 คัน
“เรามีรถหลายรุ่นให้ลูกค้าได้เลือก ทั้งรถตักหน้าขุดหลัง , รถขุดตีนตะขาบ ,รถขุดขนาดเล็ก ,รถตักอเนกประสงค์ ,รถยกแบบแขนกล และรถบดถนน ส่วนระดับราคาก็แข่งขันได้ในตลาด อาทิ รถขนาด20 ตัน เริ่มต้นที่ 3 ล้านบาทปลายๆและต้นปีหน้าจะเปิดตัวรถขนาด 30 ตัน คาดว่าราคาจะอยู่ที่ 5-6 ล้านบาท และแบ่งสัดส่วนลูกค้าคือกลุ่มทั่วไป 50% และลูกค้าฟลีตหรือองค์กรอีก 50%”
ขณะที่นายทอม คอร์เนล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจซีบี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ความต้องการใช้รถขุดตักหรือรถในกลุ่มเครื่องจักรกลหนักในประเทศไทย มีเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตกว่า 99% และมีขนาดตลาดที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค รองลงมาคืออินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ เมียนมาและ เวียดนาม ส่วนแนวโน้มของประเทศไทยหลังจากบริษัทมีการจับมือกับพันธมิตรอย่างดีเคเอสเอช ก็มั่นใจว่าภายใน 5 ปีจะมีการส่วนแบ่งการตลาด 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4% ขณะที่ตลาดรวมมีปริมาณการขายต่อปีอยู่ที่ 6,500 หน่วย
ด้านอีกหนึ่งแบรนด์ที่เริ่มรุกตลาดเครื่องจักรกลหนักอย่างจริงจังคือ ทีแอลเอสกรุ๊ป ที่แต่เดิมจำหน่ายรถโฟร์กลิฟต์ภายใต้แบรนด์ ฮุนได เฮฟวี่ อินดัสตรี ได้หันมาเปิดอีกหนึ่งบริษัทภายใต้ชื่อ วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรถขุดตักแบรนด์เคส ( CASE )จากประเทศสหรัฐอเมริกา
ต่อเรื่องนี้ นายกมลวัฒน์ วีรศุภกาญจน์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการณ์ บริษัท วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ความต้องการของตลาดเครื่องจักรกลหนักในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโต ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างพื้นฐานต่างๆที่กำลังขยายตัว ทำให้บริษัทมีความสนใจที่จะรุกในธุรกิจประเภทนี้ และตัดสินใจเลือกแบรนด์ เคส เข้ามาทำตลาด โดยเบื้องต้นมีการนำเข้าสินค้าประกอบไปด้วย รถขุดไฮดรอลิก,รถตักล้อยาง,รถเกลี่ยดิน,รถบดสั่นสะเทือนและรถตักหน้าขุดหลัง
“สินค้าของเรานำเข้ามาจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นและบราซิล เนื่องจากแบรนด์เคสมีฐานการผลิต60ประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรป,เอเชีย,อเมริกา ส่วนราคาจำหน่ายจะอยู่ในกลุ่มพรีเมียมแบรนด์ เนื่องจากมีต้นทุนด้านภาษีนำเข้า และสินค้ามีคุณภาพ เน้นสมรรถนะแต่ประหยัดพลังงาน สนนราคาเริ่มต้น 3 -20 ล้านบาท”
ทั้งนี้แม้จะเป็นน้องใหม่ในตลาด แต่ได้มีการลงทุนกว่า 110 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 100 ล้านบาทเพื่อทำการรีโนเวทออฟฟิศที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น ส่วนแรกคืออาคารสำนักงาน-โชว์รูมทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ เพื่อจอดโชว์รถ ,ส่วนที่ 2 อาคารบริการหลังการขาย เพื่อซ่อมบำรุงและดูแลเครื่องจักร มีจำนวน 20 ช่องซ่อม ,ส่วนที่ 3 อาคารเดิมได้ทำการปรับปรุงเป็นคลังอะไหล่ และส่วนที่ 4 อาคารใหม่เพื่อจัดทำเป็นแวร์เฮาส์สำหรับเก็บเครื่องจักรกล โดยมีพื้นที่รองรับรถแบ็กโฮได้กว่า 120 คัน
“เรามีเครือข่าย 4 แห่งได้แก่ ระยอง,กรุงเทพฯ,เชียงราย และ อุดรธานี มีอู่ซ่อมที่ได้แต่งตั้งในจังหวัดต่างๆอีกประมาณ 6-7 แห่ง และมีทีมโมบายเพื่อดูแลรถให้กับลูกค้าอีก 12 ทีม ซึ่งตามแผนงานในปีนี้ถือว่าเพียงพอ และในปีหน้าประมาณไตรมาสที่ 3 จะขยายเครือข่ายแถบภาคใต้”
ส่วนเป้าหมายการขายในช่วงแรกมองการเติบโตที่ 2-3% และปี 2560 จะขยับเป็น 5-6% และปีที่ 3 คาดหวังว่าจะเติบโต2 หลัก นายกมลวัฒน์ กล่าว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,200 วันที่ 13 – 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559