สอท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2559 อยู่ที่ 84.7 ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ผู้ประกอบการกังวลปัญหาต้นทุนสูง ขาดสภาพคล่อง ยอดขายตก ค่าบาทแข็งอุปสรรคการส่งออกวอนรัฐบาลอย่าพึ่งหนุนรถยนต์ไฟฟ้าขอเวลาปรับตัวอีก 5-10 ปี หวั่นรีบร้อนทำอุตฯชิ้นส่วนไทยเดือดร้อน
นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนกรกฎาคม 2559 ว่า ดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 84.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 85.3 ในเดือนมิถุนายนโดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และเป็นค่าดัชนีต่ำสุดในรอบปีนี้และต่ำสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 เนื่องจากคำสั่งซื้อ ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตและผลประกอบการที่ลดลง
สำหรับดัชนีฯ ที่ลดลงมีปัจจัยสำคัญจากความกังวลต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การแข่งขันด้านราคา ปัญหาการขาดสภาพคล่องจากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ขณะที่ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่สินค้าก่อสร้างทั้งเหล็ก ปูนซีเมนต์ ชะลอตัวซึ่งอาจเพราะเข้าสู่ฤดู ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์การเมืองในประเทศ
ส่วนปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลงได้แก่ ราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอยู่ในระดับที่ทรงตัว อีกทั้งภาครัฐยังต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงปลายปีงบประมาณ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาการเข้าถึงเงินทุนของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รวมทั้งควรมีการส่งเสริมการจัดหาช่องทางจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ และออกมาตรการจูงใจให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ รายภูมิภาคประจำเดือนกรกฎาคม 2559 พบว่า ภาคกลางมีการปรับตัวลดลงจาก 88.3% ลดลงอยู่ที่ 88.0% ภาคเหนือมีการปรับตัวลดลงจาก 70.3% ลดลงอยู่ที่ 69.9%ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการปรับตัวลดลงจาก 76% ลดลงอยู่ที่ 75.4% ส่วนทางภาคตะวันออกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 95.6% เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 99.4% และภาคใต้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 81.7% เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 84.6%
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสอท.กล่าวว่า ดัชนีฯที่ต่ำลงสอดคล้องกับภาวะการส่งออกที่มีแนวโน้มยังคงชะลอตัวโดยคาดว่า 7 เดือนการส่งออกรวมจะติดลบ 2.35% และทั้งปีคาดว่าจะติดลบ 2% สินค้าที่น่าจับตาที่มีมูลค่าลดลงอย่างมากคือสินค้าภาคเกษตรได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ที่ราคาตลาดโลกยังคงไม่ดีขึ้นโดยเฉพาะข้าว ยางพารา ที่ราคาตกต่ำหนัก ขณะที่อุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ การส่งออกเริ่มชะลอตัวโดยเฉพาะไปยังภาคตะวันออกกลางที่กำหนดค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้ต้องรอสต๊อกรถเก่าหมดก่อน ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทรงตัว มีเพียงอาหารที่คาดว่าจะโต 7%
ทั้งนี้สิ่งที่กังวล คือ ค่าบาทที่จะเป็นอุปสรรคการส่งออกของไทยลดลงและฉุดขีดความสามารถทางการแข่งขันที่แนวโน้มค่าเงินบาทของไทยมีทิศทางแข็งค่าขึ้นโดยเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ควรเข้ามาดูแลไม่ให้ค่าบาทแข็งค่ากว่าภูมิภาคและขณะนี้ไม่ควรจะต่ำไปกว่าระดับ 34.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เนื่องจากค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าไม่ได้มาจากปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวมหากแต่มาจากเงินทุนไหลเข้าที่หากพิจารณาจะมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึง 80% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพียง 20%
นายวัลลภ กล่าวว่า นโยบายรัฐที่ประกาศการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า(EV)ค่ายรถยนต์ทั้งหมดก็ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่ารัฐบาลไม่ควรจะเร่งรีบควรจะไปส่งเสริมให้เกิดอีก 5-10 ปีข้างหน้ามากกว่าเพราะสิ่งที่จะกระทบมากคือผู้ประกอบการชิ้นส่วนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการไทยจะตายก่อนเพราะรถEVเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงและใช้อะไหล่น้อยมากจึงต้องมีเวลาปรับตัว