“ยูเรก้า”หวังไทยแลนด์4.0 ดันมาร์จิน ระบุภายใน 3-5 ปี ข้างหน้าอุตสาหกรรมเครื่องจักรออโตเมชั่นได้รับความสนใจเพิ่ม
บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) UREKA น่าจะได้รับประโยชน์ เพราะเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการให้บริการออกแบบ และผลิตเครื่องจักร สำหรับการประกอบ และทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์จับยึดสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขซ่อมแซมเครื่องจักรเดิม การจัดหาอุปกรณ์และวัสดุสิ้นเปลือง ภายใต้แกนนำของ“นรากร ราชพลสิทธิ์ ”กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า การที่ประเทศก้าวเข้าสู่โมเดลไทยแลนด์4.0 จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องจักรประเภทอัตโนมัติ หรือออโตเมชั่นได้รับความสนใจมากขึ้น และเป็นช่องทางสร้างรายได้ และกำไรที่เพิ่มขึ้น
หากย้อนไป 2 ปีก่อน การใช้เครื่องจักรกลทดแทนแรงงานคน ซึ่งจะเห็นได้ชัดอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหาร เกษตร อุปโภคบริโภค เริ่มหันมาให้ความสนใจ เครื่องจักรอัตโนมัติมากขึ้น ในระบบการยก จัดวาง และขนย้าย เพราะต้องการลดต้นทุนการผลิต
ปัจจุบัน บริษัทยูเรก้า รับจ้างผลิตเครื่องจักรประเภททดแทนคนอยู่แล้ว และอยู่ระหว่างการศึกษาผลิตเครื่องจักรออโตเมชั่นในหลายรูปแบบเพิ่มขึ้น เพื่อขยายไปสู่ลูกค้าในอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
“การที่ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการให้หันมาใช้เครื่องจักรกลแทนการใช้แรงงานคนเช่น อาจจะมีมาตรการลดหย่อนภาษี การให้สิทธิประโยชน์สินเชื่อ ตั้งกองทุนสนับสนุน น่าจะทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หันมาใช้เครื่องจักรกลที่บริษัทผลิต และออกแบบมากขึ้นด้วย”
นรากร กล่าวว่า ในฐานะที่เข้าไปนั่งอยู่ในคณะกรรมการกลุ่มย่อย คลัสเตอร์หุ่นยนต์ โดยกลุ่มดังกล่าวได้เสนอแผนให้ภาครัฐพิจารณา มีส่วนช่วยสนับสนุนในการจัดงานแฟร์ เพื่อให้ผู้ผลิตกับผู้ใช้เครื่องจักรได้พบกัน เป็นการช่วยกระตุ้นดีมานด์ และความต้องการให้สอดคล้องกัน ขณะที่เป็นโอกาสที่ดีทำให้ผู้ประกอบการได้รู้จักกับบริษัทของคนไทย ที่เป็นผู้ผลิตเครื่องจักรอัตโนมัติ เพราะส่วนใหญ่นิยมใช้เครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศ มากกว่าจะสั่งซื้อจากผู้ประกอบการในประเทศ อย่างไรก็ตาม หากได้รับการสนับสนุนก็จะเป็นโอกาสของผู้ผลิตของไทยอีกทาง
สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทยูเรก้านั้น ปีนี้ยอมรับว่า ครึ่งปีหลังบริษัทอาจต้องปรับลดเป้ารายได้ลง 10-15% จากที่ประมาณการไว้ 450 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโครงการประชารัฐ ซึ่งให้เอสเอ็มอีภาคเกษตรซื้อเครื่องจักรใช้ในการเกษตร โดยคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ประมาณ 1% หรือคิดเป็น 700 หมู่บ้าน ในโครงการดังกล่าว แต่ในความเป็นจริงมีการสั่งซื้อเครื่องจักรจริงเพียง 100 หมู่บ้าน เนื่องจากการที่บริษัทเป็นผู้ประกอบการส่วนกลาง ทำให้เข้าถึงท้องถิ่นได้ยาก จึงทำให้ยอดสั่งซื้อไม่เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้
"บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ประมาณ 450 ล้านบาท แต่อาจต้องปรับลดลง 10-15% อยู่ระหว่างเสนอให้คณะกรรมการพิจารณา เพราะยอดซื้อไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ส่วนการทำกำไรนั้น คาดว่าต้องใช้เวลา แต่ในปีนี้ภาพรวมผลประกอบการอาจจะยังไม่เป็นบวก แต่ระหว่างไตรมาสคง จะเห็นว่ามีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะครึ่งปีเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น"
ทั้งนี้ บริษัทรายงานผลประกอบการงวดไตรมาส2ปีนี้ มีผลขาดทุนอยู่ที่ 1.42 ล้านบาท เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันปีก่อนมีขาดทุน 24.81 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 94.28%เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีการขายและบริการเพิ่มขึ้น 19.17% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากบริษัทได้รับงานโครงการที่มีมูลค่ารวมสูงและสามารถส่งมอบงานได้ในไตรมาส2ปีนี้ ขณะที่กลุ่มบริษัทมีต้นทุนขายลดลงเพราะบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่จะเลือกเฉพาะงานที่สามารถทำกำไรได้สูง รวมทั้งกลุ่มบริษัทสามารถควบคุมงบประมาณโครงการที่มีมูลค่าสูงได้ตามที่ตั้งไว้
กรรมการผู้จัดการ ประเมินว่า หากบริษัทหันมาผลิตเครื่องจักรกลอัตโนมัติเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นเครื่องอัตโนมัติประมาณ 30-40% ขณะที่กำไรขั้นต้นของเครื่องจักรอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับ30%และปรับลดลงมาอยู่ที่ 20%ตามอุตสาหกรรมที่ซบเซา แต่ปีนี้น่าจะดีขึ้น
นรากร เล่าให้ฟังว่า ขณะนี้บริษัทได้วางแผนระยะยาว 3-5 ปี คาดว่า สัดส่วนโครงสร้างรายได้จากเครื่องจักรอัตโนมัติจะขยับขึ้นมาเกิน 50% จากปัจจุบันมีเพียง 10% และลดการพึ่งพาลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นลูกค้ากลุ่มอื่นๆเช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ สาเหตุที่คาดว่าการผลิตเครื่องจักรอัตโนมัติจะเติบโตได้ เพราะกระแสการใช้แรงงานของคนน่าจะค่อยหายไป ซึ่งจะเห็นได้จากประเทศที่พัฒนาแล้วมีการพัฒนาในเรื่องของการใช้เครื่องจักรกลอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการใช้เครื่องจักรประเภทนี้จะส่งผลกระทบต่อคน แต่การลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการคำนึงถึงมากที่สุด
นอกจากนี้ การผลิตเครื่องจักรออโตเมชั่นในแต่ละอุตสาหกรรมมีความแตกต่างกัน ต้องอาศัยบุคลากรที่มีประสบการณ์ในการผลิต รวมถึงต้องมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้าที่จะสั่งผลิต ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนที่จะต้องหาพันธมิตรร่วมทุนต่างประเทศที่มีความชำนาญเข้ามาให้การสนับสนุน
“ขณะนี้เราได้เจรจากับผู้ประกอบการต่างประเทศในเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกัน คาดว่าจะสรุปได้ภายในปีนี้ แต่รูปแบบการร่วมทำธุรกิจมากกว่าการเข้ามาร่วมทุนถือหุ้น เพราะบริษัทไม่ต้องการตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาเพราะอาจเป็นภาระ”
นรากร กล่าวทิ้งท้ายว่า เป้าหมายการทำธุรกิจของบริษัทยูเรก้านั้น ต้องการที่ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรออโตเมชั่นครบวงจร ทั้งระบบการจับยก จัดวางและขนย้ายในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งอาจต้องใช้เวลาแต่เชื่อมั่นว่าเมื่อไทยก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างรวดเร็วจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรได้เช่นกัน