นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมอี-เพย์เมนต์ ว่า ได้สั่งการให้ผู้บริหารกระทรวงการคลังหาแนวทางดำเนินงานครึ่งปีหลัง โดยได้แบ่งกลุ่มงานที่จะดำเนินการออกเป็น 4 กลุ่มงาน ประกอบด้วย กลุ่มงานลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเข้มแข็ง, กลุ่มงานเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน, กลุ่มงานสร้างความโปร่งใส เพิ่มหลักธรรมาภิบาล และกลุ่มงานเรื่องของสังคม เพื่อรองรับในการปฏิรูปประเทศในหลายด้าน โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือคนยากจน
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีตามลำดับ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เร่งผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านการพิจารณาจากครม.เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการพีพีพี พร้อมนำเข้าสู่กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟาสตักเจอร์ฟันด์) ภายในปลายไตรมาส 3-4 ปีนี้
ขณะที่ ส่วนของเงินทุนจากต่างประเทศ ที่ไหลเข้าไทยมาเป็นจำนวนมากนั้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมองไทยเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะภายหลังการทำเบร็กซิทแล้วทำให้เงินไหลเข้ามาตลาดเอเชียเป็นจำนวนมาก ประกอบกับไทยมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ซึ่งมั่นใจว่าเงินที่ไหลเข้านั้น ธปท.จะดูแลเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแน่นอน ส่วนกรณีโมเดลเห็บสยาม ยืนยันว่าประเทศไทยเปรียบเสมือนเสือซุ่มที่พร้อมทะยาน แต่ในยามที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ ไทยจึงต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในเพื่อพร้อมในการลงทุนในอนาคต
“เราอยากเร่งอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนโยบายเราจะไม่ทิ้งอุตสาหกรรมรถยนต์เดิม แต่เราจะทำเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อให้ทันโลกที่มองว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะบูมอย่างแน่นอน ส่วนไฮบริดเราก็เร่งให้มีการเข้ามาลงทุน โดยได้หารือกับกรมสรรพสามิต เพื่อให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อจูงใจในการลงทุน ในการปูพื้นฐานเพื่ออนาคตต่อไป และในปลายไตรมาส 3 เป็นต้นไป ซึ่งมีโครงการใหญ่ ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก”