นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดศูนย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอี(เอสเอ็มอี) หรือเอสเอ็มอี เรสคิว เซ็นเตอร์ จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต ว่า ต้องการให้หน่วยงานรัฐที่ดูแลผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม และสถาบันการเงินของรัฐ อาทิ ธนาคารออมสิน ธนาคารไทยกรุงไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ ปรับบทบาทการทำงานให้เป็นผู้พัฒนา สนับสนุนเอสเอ็มอีไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างจริงจัง ทั้งภาคผลิต การค้า และบริการ ประมาณ 3 ล้านราย มีการประกอบกิจการที่ดี เพื่อเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เป็นต้นไม้ใหญ่ในป่า เพราะหากเป็นประเทศจะมีธุรกิจใหญ่หรือต้นไม้ใหญ่ไม่กี่ราย แล้วเอสเอ็มอีเป็นแค่หญ้าแพรก เศรษฐกิจประเทศก็ไม่สามารถขยับต่อได้
“หน่วยงานที่ดูแลเอสเอ็มอี ทั้งองค์กร พนักงาน ต้องมีสปิริต ต้องมีแผนงาน เครื่องมือ ในการช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ต้องสนับสนุนเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ เพราะถ้าช่วยไม่ได้ก็อย่ามีดีกว่า อย่างธนาคารรัฐถ้าไม่สามารถช่วยได้ หวังแต่กำไร หวังแต่หลักทรัพย์ค้ำประกันจากเอสเอ็มอี เพราะคิดแต่เรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับโรงรับจำนำ”นายสมคิดกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอีจะมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์ฯ เพื่อเป็นช่องทางรวบรวมปัญหาและหาแนวทางฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ขอรับความช่วยเหลือ กำหนดจุดให้บริการกว่า 3,800 แห่งทั่วประเทศ สำนักงานใหญ่อยู่ที่กระทรวงอุตสาหกรรม จากความร่วมมือของหน่วยงานรัฐและเอกชนรวม 13 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม สสว. กรมบังคับคดี กระทรวงพาณิชย์ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ศูนย์ดำรงชัยธรรม กระทรวงมหาดไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธพว. สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย สมาคมธนาคารไทย และบริษัท เครดิตบูโร จำกัด โดยบรรยากาศการเปิดศูนย์วันแรกมีเอสเอ็มอีให้ความสนใจเข้าปรึกษาปัญหาประมาณ 1,000 คน