สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

'เจน'ดันเอสเอ็มอีลุยอุตฯ 4.0 ลดแรงงานไร้ฝีมือ-เน้นทักษะ
11/05/2016
ข่าวอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล

นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงพันธกิจหลักที่จะดำเนินการในวาระปี 2559-2561 ว่า จะสร้างความเข้มแข็งโดยเสริมสร้างภราดรภาพ ความเข้าใจ และความสามัคคี ของหมู่สมาชิก และเจ้าหน้าที่ของ ส.อ.ท. รวมถึงเสริมข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้ต่างๆ เพื่อนำไปสู่การระดมความคิด กระบวนการตัดสินใจ และแก้ปัญหาต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเน้นการสื่อสารสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ บนพื้นฐานของความจริง และข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และส่งเสริมให้นักอุตสาหกรรมที่มีความรู้ ความสามารถ และมีจิตสาธารณะ เข้ามาร่วมงานใน ส.อ.ท. เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่ง และยั่งยืน มากยิ่งขึ้น  

"ผมอยากเห็น ส.อ.ท.เป็นสถาบันหลักของภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นที่ยอมรับนับถือของประชาสัมคม ภายใต้คำขวัญที่ว่า อุตสาหกรรมเป็นมิตร ช่วยเศรษฐกิจ ช่วยชาติ” เพราะภาคอุตสาหกรรมนั้นมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของประเทศโดยเฉพาะการส่งออกที่คิดเป็น 50% ของการผลิตรวม และยังเป็นภาคที่สร้างรายได้ในสัดส่วนถึง 40% ของจีดีพี ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมไทยจะมีส่วนสำคัญให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่รายได้ที่สูงขึ้น" นายเจนกล่าว

สำหรับยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม 6 ด้านที่จะผลักดันให้เกิดการบูรณาการกับยุทธศาสตร์ของ ส.อ.ท. ได้แก่ 1. สร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทยด้วยประสิทธิภาพ ผลิตภาพ และนวัตกรรม 2. พัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 3. สร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมไทยด้วยการรวมกลุ่มคลัสเตอร์ 4. สร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมไทยใช้ประโยชน์จากการเจรจาการค้า 5. พัฒนาบุคลากรเพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย และ 6. ร่วมกับภาครัฐในการสร้างปัจจัยเอื้อต่อภาคอุตสาหกรรม และเพื่อผลักดันให้แผนงานสามารถดำเนินได้ตามแผนที่วางไว้ สภาอุตสาหกรรมฯ จึงได้แต่งตั้งนายสุพันธุ์  มงคลสุธี ประธานกิตติมศักดิ์

"ยุทธศาสตร์ทั้ง 6 ด้านนี้ มีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมไทย ช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เพราะภาคอุตสาหกรรมถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สามารถสร้างรายได้ในสัดส่วนกว่า 40 ของจีดีพี" นายเจน กล่าว

ทั้งนี้ สิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญก็คือเรื่องการจัดทำความตกลงการค้าในรูปแบบทวิภาคีกับหลายประเทศทั่วโลก แต่ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าวเพียง 60% ทำให้ไทยไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้จะทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง รวมทั้งจะเร่งผลักดันธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีความพร้อมเข้าสู่ อินดันตรี 4.0 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมากขึ้น เน้นการผลิตสินค้าที่ตรงตามความต้องการของตลาด ทำให้ไม่มีการผลิตส่วนเกิน ต้นทุนของผู้ประกอบการจึงลดลง

นายขัติยา ไกรกาญจน์ รองประธาน งานสถาบันวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมและสถาบันส่งเสริมความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี กล่าวว่า ในส่วนของการ ยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ยุค 4.0 นั้น ขณะนี้ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล ออกแบบแบบสอบถามสมาชิกสภาอุตสาหกรรมทั้งประเทศ และกรมโรงงานอุตสาหกรรมก็จะนำไปให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มาต่ออายุโรงงานตอบแบบสอบถาม  เพื่อให้ได้ข้อมูลอุตสาหกรรมทั่งประเทศว่ามีกี่รายที่อยู่ในยุค1.0 ที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก 2.0 ใช้เครื่องจักรผสมแรงงานคน และ 3.0 ที่ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติทำงานเป็นหลัก และ4.0 ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ หุ่นยนต์ ที่สื่อสารประสานการทำงานกันได้เอง และคนมีหน้าที่เพียงตั้งโปรแกรม เพื่อที่จะสามารถวางแผนการส่งเสริมได้อย่างชัดเจน  โดยคาดว่าในเดือนหน้าแบบประเมินจะแล้วเสร็จ และใช้เวลาอีก 4-6 เดือนในการวางแผน จากนั้นก็จะเสนอแผนไปยังกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อเสนอให้กับรัฐบาลต่อไป

"จากการประเมินคร่าวๆในขณะนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมไทยอยู่ในยุค 1.0 ประมาณ 40% ยุค 2.0-3.0 ประมาณ 60% ซึ่งประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องก้าวไปสู่แนวทางนี้ เพื่อก้าวให้พ้นกับดักรายได้ปานกลาง และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ในระยะยาว" นายขัติยา กล่าว

โดยในขณะนี้ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ลงทุนอุตสาหกรรมยุค 4.0 ไปแล้ว แต่เป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูงมาก ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐให้การส่งเสริมโดยการนำมูลค่าการลงทุนในส่วนนี้ไปลดหย่อนภาษีได้ 200-300% ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังมีการลงทุนอุตสาหกรรม 4.0 น้อยมาก เพราะขาดแคลนเงินทุน และไม่เห็นความสำคัญของการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ดังนั้นภาครัฐจะต้องเข้าไปให้ความรู้ให้เห็นว่าเอสเอ็มอีก็ยกระดับไปสู่ยุค 4.0 ได้ และใช้เวลาคืนทุนไม่นาน รวมไปถึงการหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือตั้งกองทุนขึ้นมาสนับสนุน เพราะถ้าหากไม่ปรับตัวในขณะนี้ก็จะถูกแรงกดดันด้านต้นทุนแรงงานในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งหากภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ก็จะสามารถยกระดับอุตสาหกรรมไทยไปสู่ยุค 3.0 ได้ภายใน 5 ปีนับจากนี้ และตั้งเป้าหมาในปี 2025 อุตสาหกรรมไทย 70% ขึ้นไปเข้าสู่ยุค 4.0

นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา เลขาธิการและงานกฎหมาย ส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท.ในสมัยของนายเจน จะเร่งผลักดันการปรับโครงสร้างภายในองค์กร โดยเฉพาะการปรับปรังพ.ร.บ.สภาอุตสาหกรรม ที่เคยเป็นชนวนความขัดแย้งในอดีต โดยเดือนมิถุนายนนี้ ภายหลังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการครบทุกชุด ฝ่ายกฎหมายส.อ.ท.จะเริ่มเดินสายในภูมิภาคต่างๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็น และนำกลับมาสรุปเป็นตุ๊กตา จากนั้นจะนำตุ๊กตาดังกล่าวกลับไปให้สมาชิกในแต่ละภูมิภาคพิจารณา หากเห็นพ้อมร่วมกันจะเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณากฎหมาย โดยส.อ.ท.มองว่าต้องเร่งเสนอในรัฐบาลชุดนี้ หากล่าช้าออกไป จนมีรัฐบาลจากการเมืองเข้าบริหารประเทศอาจไม่เห็นความสำคัญของกฎหมายส.อ.ท.อาจมองว่าเป็นเรื่องของเอกชน แต่จริงๆแล้วอยากให้มองว่ามีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างมาก เพราะจะเป็นตัวขับเคลื่อนในการประสานการทำงานระหว่างรัฐและเอกชนให้เดินไปด้วยกัน

"ประเด็นที่ต้องปรับปรุง อาทิ กรรมการส.อ.ท.ในปัจจุบันมีมากกว่า 300 คน จากอดีตตอนร่างกฎหมายปี 2530 มีกรรมการ 30-40 คน เพราะตอนนั้นสมาชิกน้อย อุตสาหกรรมยังไม่หลากหลาย และยังไม่มีอุตสาหกรรมแต่ละจังหวัด แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนทำให้มีกรรมการเพิ่มขึ้นตามสมาชิก" นายกิตติ กล่าว
ที่มาของข่าว: แนวหน้า

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.