สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

คลี่ 12 ฟันเฟืองขับเคลื่อนประชารัฐ
26/04/2016
ข่าวเศรษฐกิจ

คำว่า “ประชานิยม” ดูจะเป็นคำ “แสลงหู” สำหรับรัฐบาล “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่มองว่าเป็นเพียงนโยบายฉาบฉวยแจกไม่อั้นที่ไม่มีความยั่งยืนของรัฐบาลที่ผ่านๆมาเพื่อหวังเรียกคะแนนนิยมเท่านั้น แต่กลับสร้างภาระให้กับประเทศชาติมหาศาล

แต่ในภาวะที่ “ทางเลือก” ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ “เปราะบาง” และง่อนแง่นจากผลพวงเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำมีอยู่ไม่มากนัก เมื่อการลงทุนภาคเอกชนไม่ขยับเพราะลงทุนไปแล้วไม่มีตลาดรองรับ ขณะที่ความหวังจากภาคการส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ วันนี้ยังคง “ติดลบ” หนัก

เช่นเดียวกับการลงทุนของภาครัฐที่แม้จะตีฆ้องร้องป่าวโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์สารพัด แต่ก็มีข้อจำกัดที่ทำให้โครงการเหล่านี้ล้มลุกคลุกคลาน บางโครงการแทบจะ “ย่ำอยู่กับที่”

หนทางที่จะพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ จึงอยู่ที่การ “อัดฉีด” เม็ดเงินเข้าสู่ “รากหญ้า” ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบ

อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่รัฐบาลตัดสินใจงัดมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่รากหญ้าผ่านโครงการต่างๆ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการปัดฝุ่นนโยบาย “ประชานิยม” ที่รัฐบาลเองเคย “เกลียดเข้าไส้” มาโดยตลอด แต่ก็กลับกลืนเสลดลงคอหันมาลอกเลียนนโยบายที่ว่านี้

จนเป็นที่มาของการแก้เกม “ประชานิยม” ลบคำแสลงหูที่ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็น “ประชารัฐ” ที่ได้รับการขานรับจากทุกภาคส่วน

และเมื่อแนวคิดและนโยบาย “ประชารัฐ” เริ่มตกผลึก รัฐบาลจึงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายนี้เต็มสูบ ด้วยการจัดตั้ง “คณะกรรมการสานพลังประชารัฐ” ที่มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯเป็นประธานภาครัฐและ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเป็นประธานในภาคเอกชนก่อนเปิดเวที “สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2558

มีการจัดตั้งคณะทำงานชุดต่างๆ ขึ้นมาอีก 12 ชุด แยกเป็น 2 ส่วนคือ 7 ตัวขับเคลื่อน (7D) และ 5 ตัวสนับสนุน (5E) โดยแต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้าทีมที่ประกอบด้วยตัวแทนภาครัฐในระดับรัฐมนตรี ประกบคู่กับตัวแทนภาคเอกชนที่ล้วนเป็นระดับมันสมองของบริษัทเอกชนชั้นนำเพื่อร่วมกันระดมมันสมอง ระดมแนวคิดขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของประเทศ รวมทั้งร่วมผลักดัน “มาตรการขับเคลื่อนประเทศ” อย่างเป็นรูปธรรม!

กว่า 6 เดือนของคณะทำงานกลุ่มต่างๆ คืบหน้าไปถึงไหน อย่างไร “ทีมเศรษฐกิจ” ถือโอกาสนี้รวบรวมแนวคิดและมาตรการ ตลอดจนความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนงานของกลุ่มต่างๆ ที่ได้นำเสนอต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติไปล่าสุดเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ดังนี้ :

**********

คลี่ 12 คณะทำงานขับเคลื่อนประเทศ

เริ่มต้นที่ “คณะทำงานด้านการยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ” ที่มี นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการและประธานที่ปรึกษาฝ่ายจัดการ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งมีเป้าหมายคือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ และหลุดพ้นจาก “กับดัก” ประเทศรายได้ปานกลาง

แนวทางที่คณะทำงานเสนอเพื่อบรรลุเป้าหมายข้างต้นคือ ให้มีการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาของบริษัทขนาดใหญ่อย่างเต็มกำลัง เพื่อผลักดันนวัตกรรมขององค์กร และการให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการเพิ่มผลิตภาพของบริษัทขนาดย่อมและวิสาหกิจชุมชน รวมถึงการส่งเสริมให้เกิด “ธุรกิจสตาร์ตอัพ” เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้สร้างธุรกิจ เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศ

ข้อเสนอสำคัญของคณะทำงานนั้น ยังเสนอให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายงานค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีนักวิจัยประมาณ 10 คนต่อประชากร 10,000 คน ขณะที่สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้มีอยู่ 70 คนต่อประชากร 10,000 คน มากกว่าประเทศไทยถึง 7 เท่า

ชุดที่ 2 “คณะทำงานด้านการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจเริ่มต้น” (SMEs & Startup) มี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ และ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นหัวหน้าทีม

กลุ่มนี้มีข้อเสนอให้ปรับการให้บริการของภาครัฐเป็น “ผู้กำกับดูแล” และเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการใบอนุญาตต่างๆ เช่น การจดสิทธิบัตร พร้อมทั้งส่งเสริมให้เอสเอ็มอีทำบัญชีเดียว และมีงบประมาณสนับสนุนเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จะจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะ SMART Enterprise จำนวน 2,760 รายต่อปี เป็นความร่วมมือของภาครัฐ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภาคเอกชนบริษัทขนาดใหญ่และสถาบันการศึกษา 138 แห่ง มีเป้าหมายเพิ่มธุรกิจขนาดกลางให้ได้อย่างน้อย 20,000 รายภายในปี 2563 จากปี 2557 ที่มีจำนวน 12,812 ราย

ชุดที่ 3 “คณะทำงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและ MICE” มี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และ นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ดุสิตธานี เป็นหัวหน้าทีม โดยกลุ่มนี้ได้แบ่งโครงการออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนแรก โครงการเพื่อกระจายรายได้ ได้แก่โครงการ Amazing Thai Taste เน้นการโปรโมตอาหารและผลไม้ไทยตามฤดูกาล, โครงการประชุมเมืองไทย ภูมิใจช่วยชาติ สนับสนุนให้เอกชนจัดประชุมสัมมนาและท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลในต่างจังหวัด

ส่วนที่สอง เป็นโครงการเพื่อยกระดับรายได้ มีโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้ท้องถิ่น, โครงการคืนชีวิตให้เมืองเก่า เป็นต้น และ ส่วนที่สาม เป็นโครงการเพื่อเสริมสร้างความยั่งยืน เน้นโครงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน การยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัยเพื่อความยั่งยืน

รุกรัฐปัดฝุ่น“อีสเทิร์นซีบอร์ด” ต่อเนื่อง

ชุดที่ 4 “คณะทำงานด้านการส่งเสริมส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ” มี นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ และ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ เป็นหัวหน้าทีม มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริม สนับสนุนการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ ปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกและการลงทุน รวมทั้ง “ปลดล็อก” ส่งเสริมพัฒนาให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกและลงทุนในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

โครงการที่นำเสนอ เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชนด้านเศรษฐกิจ (กรอ.เศรษฐกิจ)ในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (CLMV) คือ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม เพื่อผลักดันการส่งออกและการลงทุน เป็นต้น

ชุดที่ 5 “คณะทำงานด้านการพัฒนาคลัสเตอร์ ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” (New S–Curve) มี นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม และ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล นำทัพ มีเป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องส่งเสริมให้เกิดการลงทุนใหม่ที่ทันสมัย เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การผลิตสมัยใหม่ที่ใช้ความรู้การผลิตขั้นสูงที่มีมูลค่าเพิ่ม

ทั้งนี้ กลุ่มได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเอกชนเห็นว่าพื้นที่ที่มีความเหมาะสมคือการขยายพื้นที่ “อีสเทิร์นซีบอร์ด” ในภาคตะวันออก จ.ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เพราะ 6 ใน 10 อุตสาหกรรมยังสามารถลงทุนในพื้นที่นี้ได้ โดยเสนอให้รัฐบาลประกาศเป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” ที่มีการกำกับดูแลโดยองค์กรส่วนกลาง จัดทำนโยบาย และอำนวยความสะดวกในการลงทุน โดยออกกฎหมายเฉพาะออกมา

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอใน 2 โครงการคือ โครงการพัฒนาซุปเปอร์คลัสเตอร์ปิโตรเคมี เพื่อพัฒนาสู่ปิโตรเคมีมูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการผลักดันการสร้างสินค้ามูลค่าเพิ่มจากพืชเศรษฐกิจ หรือ Bioeconomy ที่นำร่องจากอ้อยและมันสำปะหลัง โดยตั้งเป้าหมายภายในระยะ 5-10 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มมูลค่าอ้อยมากกว่า 300,000 ล้านบาท และมันสำปะหลัง 100,000 ล้านบาทต่อปี

พลิกวิถีเกษตรไทยสู่ “สมาร์ทฟาร์มเมอร์”

ชุดที่ 6 คณะทำงานด้านการพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ เป็นหัวหน้าทีม มีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปภาคเกษตรลดการเหลื่อมล้ำระหว่างภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร การขับเคลื่อนให้เกษตรกรมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการเกษตรเพื่อก้าวสู่การเป็น “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” และ “เอสเอ็มอีเกษตรกร”

ทั้งนี้ แผนงานระยะสั้น 6 เดือนที่คณะทำงานเสนอก็คือ การรวมกลุ่มการผลิตของเกษตรกรเพื่อพัฒนาให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ การพัฒนาสหกรณ์การเกษตรต้นแบบ และการผลิตสินค้าเกษตรที่สร้างรายได้เร็ว ส่วนแผนงานระยะกลาง-ยาว 1 ปีขึ้นไปนั้น เน้นการทำวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อการเกษตรและทะเบียนเกษตรกร

ชุดที่ 7 คณะทำงานด้านการสร้างรายได้และการกระตุ้นการใช้จ่ายของประเทศ มี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง และ นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บจก.กลุ่มเซ็นทรัล เป็นผู้นำ โดยคณะทำงานชุดนี้ได้หาเครื่องมือเพื่อสร้างรายได้และกระตุ้นการใช้จ่ายภายใต้กรอบเวลาที่มีไม่มากนัก เพื่อเพิ่มจีดีพีของประเทศให้เป็นสองเท่าตัว ทำให้รายได้ต่อหัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 5,900 เหรียญสหรัฐฯเป็น 12,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวังวนกับดักรายได้ปานกลาง

แนะยกเครื่อง “พ.ร.บ.พีพีพี” อีกระลอก!

ชุดที่ 8 คณะทำงานด้านการดึงดูดการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง และ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงเทพเป็นหัวหน้าทีม มีเป้าหมายเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างฐานใหม่ที่ทันสมัย ขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่การพัฒนาในระดับที่สูงขึ้น ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ การสร้างอุตสาหกรรมมูลค่าสูงเป็นต้น

โดยคณะทำงานชุดนี้ได้เสนอโครงการที่สำคัญคือ โครงการเมืองวิทยาศาสตร์, การสร้างจุดขายใหม่ของการท่องเที่ยว หรือ Man-made Tourism, โครงการบ้านประชารัฐระยะที่ 2, การแก้ไขปัญหาการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP), การจัดตั้งหน่วยงานบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกำกับดูแลให้แล้วเสร็จภายในเวลาและต้นทุนที่กำหนด, โครงการ “สมาร์ทซิตี้” เพื่อการใช้โครงสร้างพื้นฐานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

ชุดที่ 9 คณะทำงานด้านการยกระดับคุณภาพวิชาชีพ โดยมี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ และ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย เป็นหัวหน้าทีม มีเป้าหมายต้องการจะยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษาให้แข่งขันในตลาดโลก มุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ในการสร้างค่านิยมให้เด็กมาเรียนสายวิชาชีพอาชีวศึกษามากขึ้น เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ อย่างมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของตลาด มีโครงการที่สำคัญคือ โรงเรียนความเป็นเลิศต้นแบบ หรือ Excellence Model School เป้าหมายเพิ่มนักเรียนนักศึกษา Excellence Model School ปีละ 50% ระหว่างปี 2559–2560

ผุด “บ.ประชารัฐสามัคคี” ทั่วประเทศ

ชุดที่ 10 คณะทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ นำทีมโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากโดยยึดชุมชนเป็นตัวตั้ง ยึดความต้องการของประชาชนเป็นหลัก สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน โดยมีเกณฑ์การวัดผลคือการเพิ่มขึ้นของรายได้ชุมชนที่ชัดเจนเป็นไปตามวัตถุประสงค์

คณะทำงานกลุ่มนี้ได้เสนอโครงการที่สำคัญคือการจัดตั้ง บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ในพื้นที่ 18 กลุ่มจังหวัดและ 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีบริษัทโฮลดิ้งกลางที่เน้นให้เป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่โปร่งใส สร้างประโยชน์ให้ชุมชนมีเป้าหมายหลักเพื่อสังคมไม่ใช่เพื่อกำไรสูงสุด

ชุดที่ 11 คณะทำงานด้านการปรับแก้กฎหมายและกลไกภาครัฐ ภายใต้การนำทีมของ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และ นายกานต์ ตระกูลฮุน จาก บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ที่จุดมุ่งหมายเพื่อปรับแก้ขั้นตอน กฎระเบียบกฎหมายที่มีความซับซ้อน ล้าสมัยเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจและการลงทุน เพื่อให้เอื้อต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นำไปสู่การยกอันดับการทำธุรกิจของไทยให้ติด TOP 20 ในการจัดอันดับประจำปี 2561 โดยเป้าหมายยกเลิกกฎหมาย 5,000 ฉบับ ภายในเดือน ส.ค.2560

ชุดที่ 12 คณะทำงานด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำ มี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ และ นายศุภชัย เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการ บมจ.เครือเจริญโภคภัณฑ์ นำทีม มุ่งขับเคลื่อนและยกระดับมาตรฐานการศึกษาของประเทศในทุกมิติ ตลอดจนส่งเสริมสนับสนุน และพัฒนาระบบไอซีที ในการศึกษาและยกระดับความสามารถด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในสถานศึกษาสู่ระดับนานาชาติ

โครงการที่สำคัญคือ โครงการปฏิรูปการศึกษา 10 ด้านสู่มาตรฐานสากล เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิตอล การยกระดับทักษะความสามารถด้านภาษาอังกฤษ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการศูนย์กลางการศึกษาแห่งภูมิภาคหรือ Education Hub พัฒนามหาวิทยาลัยสู่ความเป็นเลิศด้านงานวิจัยระดับภูมิภาคภายใน 5 ปี

*******

ทั้งหลายทั้งปวงข้างต้น มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การลดความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาคุณภาพคนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ทุกฝ่ายเพรียกหาภายใต้ความร่วมมือ 3 ประสาน “รัฐ-เอกชน-และภาคประชาสังคม”.

ทีมเศรษฐกิจ
ที่มาของข่าว: ไทยรัฐออนไลน์

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.