นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกภาพรวม ในช่วงหลังจากนี้ มองว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากการส่งออกสินค้าเกษตรบางประเภท เช่น ไก่ซึ่งทราบมาว่า มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก, รถยนต์ โดยเฉพาะรถอีโคคาร์ ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ซึ่งในด้านของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ได้มีการหารือไปแล้ว และจะมีการหารือต่อเนื่อง เพื่อรับทราบถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทย
รวมถึงสิ่งที่ผู้ผลิตต้องการให้รัฐช่วยเหลือ สนับสนุน เพราะกลุ่มยานยนต์ถือเป็นผู้ส่งออกที่สำคัญ มีสัดส่วนมากกว่า 10% ของการส่งออกทั้งหมด หากการส่งออกกลุ่มนี้ขยายตัวได้ดี จะช่วยดึงการส่งออกภาพรวมได้มากซึ่งตอนนี้ไทยมีการผลิตรถยนต์มากที่สุด เป็นอันดับที่ 12ของโลก ส่วนเป้าหมายการส่งออกทั้งปี 2559 จะเป็นไปในทิศทางใด ต้องรอดูสถานการณ์การส่งออกหลังจบไตรมาสแรกของปี 2559 ก่อน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ดีมากนักผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ลดลง โดยเฉพาะรถยนต์ใหม่ จึงมองว่าจะเป็นโอกาสดีของกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์ เพราะผู้บริโภคยังมีรถยนต์เก่า และต้องมีการซ่อมแซมปรับปรุงของเดิม น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ยังทำให้กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ยังขยายตัวได้ดี โดยปัจจุบันไทยถือเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ในอาเซียน ในปี 2558 มีมูลค่าการส่งออกรวม 31,361 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าในปี 2559 จะมีมูลค่าการส่งออก 32,564 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.8% มีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์จึงได้ร่วมมือกับสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย สมาคมผู้ค้าอะไหล่วรจักรสมาคมประกอบชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ทดแทนไทยและสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิต ในการจัด“งานแสดงสินค้ายานยนต์ ชิ้นส่วน อะไหล่ยานยนต์และอุปกรณ์ตกแต่ง 2559” หรือ Thailand Auto Parts& Accessories 2016 (TAPA 2016) ขึ้น เพื่อแสดงศักยภาพของสินค้าไทย งานดังกล่าวจะจัดขึ้นทุกๆ 2 ปีโดยเฉพาะในปี 2559 นี้จะให้ความสำคัญกับสินค้าที่ทันสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยงาน TAPA 2016 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน 2559 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
สำหรับงานในปี 2559 นี้ถือว่าได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศจำนวนมาก ทั้งจากเอเชีย และยุโรป โดยตอนนี้มีผู้ประกอบการจะนำสินค้าเข้าร่วมการแสดง 590 บริษัท 1,000 คูหา และคาดว่าจะมีนักธุรกิจเข้าร่วมชมงานมากกว่า 10,000 รายจากทั่วโลก เช่น ประเทศกลุ่มอาเซียน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ออสเตรเลีย แอฟริกา สหภาพยุโรป จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ และรัสเซีย และหวังว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายภายใน 1 ปีหลังจากจัดงานนี้ไม่ต่ำกว่า 2,100 ล้านบาท