นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้คงเป้าหมายผลักดันการส่งออกในปีนี้ให้เติบโตราว 5% แม้ว่าล่าสุดตัวเลขการส่งออกในเดือน ม.ค.59 ยังติดลบสูงถึง 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 แต่ไทยจะเน้นการรักษาส่วนแบ่งตลาดส่งออกเอาไว้ และหวังว่าจะทำให้การส่งออกพลิกกลับมาเป็นบวกได้ โดยสถานการณ์การส่งออกของไทยที่ชะลอตัวลงล่าสุดที่ 8.9% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวลดลง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์ขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงมาอยู่ที่ 3.4% จากเดิมที่ 3.6% ขณะที่ราคาน้ำมันลดลงจาก 51.6 ดอลลาร์ต่อบาเรล เหลือ 42.5 ดอลลาร์ต่อบาเรลในปีนี้ ภายใต้ความผันผวน
ทั้งนี้ถึงแม้การขยายตัวของการส่งออกในเดือน ม.ค.59 จะยังคงติดลบต่อเนื่อง แต่อย่ามองเพียงตัวเลขส่งออกอย่างเดียว ต้องปรับยุทธศาสตร์การค้าการลงทุนให้แข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะเมื่อเทียบกับการส่งออกของประเทศอื่นทั่วโลกที่ติดลบ ประเทศไทยมีการขยายตัวอยู่ในอันดับ 4 รองจากฮ่องกง จีน และเม็กซิโก ตามลำดับ และเชื่อว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นในทุกๆ ตลาด
นายสุวิทย์ กล่าวว่า มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งออก แต่รูปแบบการค้าเปลี่ยนแปลงไป โลกพึ่งพาการส่งออกและนำเข้าน้อยลง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มลดลง แต่ส่งออกด้านบริการกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้จึงได้กำหนดโรดแม็พและยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของไทยในเวทีโลก เน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการค้าการลงทุน จากเดิมมีการส่งออกด้านสินค้าเพียงอย่างเดียวก็จะปรับเปลี่ยนให้มีการส่งออกด้านบริการมากขึ้น ซึ่งไทยมีแนวโน้มการส่งออกด้านบริการที่ดี พร้อมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการรวบรวมตัวเลขการส่งออกด้านบริการและมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแถลงตัวเลขภาวะการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะเห็นได้ในช่วงเดือนเมษายนนี้
ส่วนเรื่องการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ จากเดิมต้องการเห็นนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในไทย แต่จะมีการปรับเปลี่ยนส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเป้าหมายของการลงทุนของไทยในต่างประเทศกว่า 30% ไปอยู่ในอาเซียน ด้านโครงสร้างภายในภาคอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงโดยลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออกลง แต่เพิ่มการพึ่งพารายได้จากการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีสัดส่วนรายได้จากส่วนงานในต่างประเทศต่อรายได้รวมสูงขึ้นพร้อมทั้งมีการปรับเปลี่ยนจากส่งออกเชิงปริมาณมาเป็นการส่งออกที่เน้นคุณภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากขึ้น
ทั้งนี้ในอนาคตจะต้องดู GNP หรือมูลค่าสินค้าและบริการ ควบคู่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ควบคู่กันไป โดยหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว GNP จะมากกว่า GDP นอกจากนี้การค้ากำลังเผชิญกับภาวะ New Normal ดังนั้นจะต้องดำเนินการแบบ Business As Usual ไม่ได้ โดยนอกเหนือจากการแสวงหาโอกาสจากการค้าโลก ต้องมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศด้วย โดยแนวทางการขับเคลื่อนการส่งออกที่สำคัญประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1.ขยายการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดอินโดจีนหรือ CLMV โดยกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อการขยายโอกาสทางการค้า และใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทยซึ่งมีที่ตั้งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งความเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก
2.เร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก โดยใช้ความต้องการตลาดเป็นตัวนำการผลิต (Demand Driven) หรือกำหนดสินค้า/บริการที่จะผลักดันการส่งออก และมีการกำหนดกลยุทธ์เชิงลึกลงถึงในระดับเมือง (city focus) มุ่งเน้นการเจาะตลาดใหม่ๆ การเจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ (niche market) และช่องทางการค้าออนไลน์ 3.ส่งเสริมการค้าบริการ (Trade in Services) โดยสนับสนุนภาคธุรกิจบริการให้เป็นแรงผลักดันการส่งออกควบคู่ไปกับการส่งออกสินค้า ตามยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนด 6 กลุ่มธุรกิจบริการเป้าหมาย 5.ผลักดันและแก้ปัญหาทางการค้าระร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีกลไกลขับเคลื่อนผ่านคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ (พกค.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาคการค้าทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นกรรมการ โดย พกค. จะมีบทบาทด้านการกำหนดนโยบาย และมาตรการเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของประเทศ