3 วันของการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีใต้ของ "นางอรรชกา สีบุญเรือง" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนเพื่อ "ศึกษาดูงานการเพิ่มผลผลิตของประเทศให้เป็นแบบทวีคูณ และการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ" เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า "เกาหลีใต้" เป็นต้นแบบของความสำเร็จในการเพิ่มผลผลิตและผลิตภาพภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของโลก การพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครั้งนี้จึงเกิดแนวทางความร่วมมือช่วยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ไทย รวมถึงการปรับบทบาท "สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ" ออกมาเป็นองค์กรอิสระ เพื่อขับเคลื่อนให้ GDP ไทยสามารถเติบโต 2-3% ต่อปี และนี่คือโอกาสสำคัญที่นักลงทุนรายใหญ่อย่าง "ซัมซุง" จะตัดสินใจเข้ามาลงทุนตามนโยบายคลัสเตอร์ของไทย
ชูคลัสเตอร์ชักจูงซัมซุงลงทุน
ศูนย์แสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของบริษัทซัมซุงอิเล็กทรอนิกส์ จำกัด เป็นสถานที่แรกสำหรับการเดินทางไปเยือนของนางอรรชกา เพื่อหารือกับ "นายยิม แซง โม" รองประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ถึงนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ที่รัฐบาลไทยต้องการให้ซัมซุงรับทราบ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต ถือเป็น 1 ในอุตสาหกรรมขั้นสูงที่เป็นเป้าหมายของไทยที่ต้องการให้เข้ามาลงทุนในขณะนี้
การหารือครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเพื่อปูทาง ก่อนการเดินทางไปเยือนอย่างเป็นทางการ (โรดโชว์) อีกครั้งของคณะรัฐบาลไทย โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีนำทีมในวันที่ 23-26 มีนาคม 2559
ศูนย์เพิ่มผลผลิตเกาหลีสู่ไทย
นอกจากนี้ คณะเดินทางได้มีโอกาสไปเยี่ยม "ศูนย์เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพภาคธุรกิจอุตสาหกรรม" ของเกาหลีใต้ และมีแนวคิดที่จะนำมาปรับบทบาทการทำงานของสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติของไทย ซึ่งเป็นสถาบันเครือข่ายภายใต้ กระทรวงอุตสาหกรรม ออกมาเป็นรูปแบบขององค์กรอิสระคือแนวทางขับเคลื่อนที่ต้องการเน้นการพัฒนา บริหารจัดการองค์กร ฝึกอบรม วิจัย รณรงค์ส่งเสริม ผลักดันให้เกิดขบวนการเพิ่มผลิตภาพและนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรมของไทยให้เร็วขึ้น มีแนวทางที่ชัดเจน และมีรายได้ด้วยตนเอง
ปัจจุบันสถาบันมีรายได้เพียง 200 ล้านบาท/ปี ทำให้การขับเคลื่อนงานบางอย่างไม่คล่องตัว ขณะเดียวกันยังต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเช่นเดิม แต่ต้องลดสัดส่วนลง จากนั้นจะบูรณาการงานร่วมกัน ซึ่งไทยจะหานำโมเดลของเกาหลีใต้มาศึกษา โดยศูนย์เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพภาคธุรกิจอุตสาหกรรม รัฐช่วยสนับสนุนเงินเพียงการสร้างอาคาร 40% ที่เหลือเอกชนลงทุน 60% มีรายได้ 1,600 ล้านบาท/ปี
นายสันติ กนกธนาพร ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ กล่าวว่า บทบาทของสถาบันจะเร่งผลักดันเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของทั้งประเทศและ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้มีการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ลดการใช้งบประมาณที่ซ้ำซ้อน โดยกระจายบทบาทไปให้หน่วยงาน สถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ฝึกอบรมและช่วยเหลือผู้ประกอบการแทน
การเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้ในครั้งนี้นางอรรชกาไทยได้หารือกับทางศูนย์เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ (Korea Productivity Center : KPC) ถึงความร่วมมือกับไทยว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด ด้านไหนได้บ้างในการพัฒนา SMEs ไทย โดยมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำแผนแม่บท (2559-2564) ซึ่งกำหนดไว้ 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.ยกระดับผลิตภาพภาคอุตสาหกรรมด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมและระบบบริหารจัดการ 2.ยกระดับผลิตภาพแรงงานให้มีทักษะ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม และ 3.พัฒนาปัจจัยแวดล้อมเพื่อสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพ ภายใต้งบประมาณ 2560 ที่ขอไว้ 1,017 ล้านบาท จะเป็นตัวทำให้ GDP ไทยเติบโต 2-3% ต่อปี
ดึงพัน ล.เพิ่มแผนแม่บท
"นายซูน จิก ฮง" กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพภาคธุรกิจอุตสาหกรรม (Korea Productivity Center : KPC) กล่าวว่า ทางศูนย์มีความสนใจที่จะหาพาร์ตเนอร์ไทยรายใหญ่ร่วมลงทุนในลักษณะเช่นเดียวกับ KPC ที่เกาหลี โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนา แนะนำแนวทางการลงทุน บริหารจัดการอุตสาหกรรม SMEs ไทย-เกาหลี ซึ่งในอนาคตจะเกิดการลงทุนจาก SMEs เกาหลีในไทยมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเกาหลีใต้พัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ จึงเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมจนประสบความสำเร็จได้ในเวลาอันรวดเร็ว ใช้รูปแบบการเพิ่มผลผลิตและผลิตภาพ รวมทั้งมีการบูรณาการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชนรายใหญ่ ก่อนจะกระจายไปยัง SMEs เช่นเดียวกับแนวทางที่ไทยกำลังดำเนินการ นับว่าไทยวางนโยบายและเดินหน้ามาถูกทาง แม้จะมีอุปสรรคบ้าง
สอดคล้องกับ "เดวิด เซยอน เบรก" หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์และนวัตกรรมด้านไอที ยอมรับว่า ปัญหาการยกระดับ SMEs โดยเฉพาะในกลุ่ม Start up คือ เงินทุน สินค้าไม่ตอบโจทย์ รัฐไม่หนุนเต็มที่ ดังนั้น การแข่งขันสินค้าไม่ว่าจะเป็นไทย เกาหลี หรือทั่วโลก หนีไม่พ้นการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ๆ