นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยแนวทางการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในภาคธุรกิจ ว่า ขณะนี้ สวทช. อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการสตาร์ตอัพวอชเชอร์ เพื่อสร้างผู้ประกอบการใหม่ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยได้รับงบประมาณจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จำนวน 50 ล้านบาท เพื่อสร้างผู้ประกอบการใหม่ 50 ราย โดยจะสนับสนุนเงินลงทุนให้รายละ 8 แสนบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดโครงการได้ภายใน 2-3 เดือน
โดย สวทช. จะส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปให้คำปรึกษา และดูแลการใช้จ่ายเงินทุน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการลงทุนสูงสุด และไม่ถูกหลอก เพราะผู้ประกอบการเหล่านี้พึ่งเริ่มทำธุรกิจเป็นครั้งแรกยังมีประสบการณ์น้อยจึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแล ส่วนคุณสมบัติผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่เป็นของตัวเอง และสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ รวมทั้งจะต้องมีความเป็นผู้ประกอบการ กล้าที่จะลงทุน มีทักษะบริหารจัดการ มีวินัยการเงินที่ดี ซึ่งนักศึกษาและประชาชนที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สวทช. โดยส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจไอที ซอร์ฟแวร์ต่างๆ ไบโอเบส และธุรกิจบริการชนิดใหม่ๆที่แหวกแนว เป็นต้น
สำหรับการลงทุนในกลุ่มสตาร์ตอัพที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะมีสัดส่วนประสบความสำเร็จเกิดธุรกิจได้จริงจะมีน้อยประมาณ 10% ของผู้ที่เข้าร่วมโครงการนั้นหมด โดยในครั้งนี้คาดว่าจะเกิดธุรกิจได้จริงประมาณ 5 ราย แต่ธุรกิจที่เกิดได้จะมีมูลค่าเพิ่มสูงมากกว่า 20 เท่า ภายใน 5-7 ปี ส่วนในปี 2560 จะดำเนินโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง จะของบเพิ่มเป็น 300 ล้านบาท สร้างผู้ประกอบการใหม่ที่มีนวัตกรรมเพิ่มอีก 350 ราย และคาดว่าจะเกิดธุรกิจจริง 35 ราย ซึ่งเมื่อมีผู้ประกอบการเหล่านี้เพิ่มขึ้น ก็จะเกิดการต่อยอดในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง และขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
"โครงการนี้จะทำให้เด็กรุ่นใหม่ที่มีความคิดไอเดียที่ดี ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ กล้าที่จะก้าวออกมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น เลิกยึดติดกับการเป็นลูกจ้าง ซึ่งจะสร้างมูลค่าธุรกิจเพิ่มได้อีกมหาศาล ก่อให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจ และเกิดธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นอีกมากมาย" นายณรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 2559 สวทช. จะร่วมมือกับพันธมิตร 19 แห่ง จัดงาน ไทยแลนด์ เทคโชว์ รวม 8 ครั้ง เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยจำนวน 153 เรื่อง ที่พร้อมถ่ายทอดให้แก่เอกชน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจด้วยนวัตกรรม โดยกลุ่มงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอดให้แก่เอกชนมีทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เกษตรและประมง เครื่องสำอาง อุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องประดับ โดยการจัดงานไทยแลนด์ เทคโชว์ จะเริ่มจาก วันที่ 23-24 ก.พ.2559 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และและจัดช่วงเดือนส.ค.อีกครั้งที่กทม. ส่วนในต่างจังหวัดจัดที่ จ.เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา
ส่วนงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอดให้แก่เอกชนที่สนใจนำพัฒนาเป็นสินค้า เอกชนจะมีค่าธรรมเนียมเข้าร่วมโครงการ 3 หมื่นบาท พร้อมกับสามารถเข้ามาร่วมโครงการของกระทรวงวิทย์ฯ ขอสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาสินค้าได้เพิ่มขึ้น ทั้งโครงการไอแทป หรือ คูปองนวัตกรรมได้ โดยประเมินว่าในปี 2559 จะมีเอกชนสนใจเข้ามารับการถ่ายทอดงานวิจัยกว่า 1 พันราย และสร้างเป็นสินค้าใหม่กว่า 300 สินค้า
ส่วนความคืบหน้าของการขึ้นบัญชีนวัตกรรมนั้น ขณะนี้มีสินค้าที่รอการขึ้นบัญชีนวัตกรรม 74 รายการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทอสอบคุณภาพ ส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มประเภทยา เครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ เพราะสินค้ากลุ่มนี้ผ่าน องค์การอาหารและยา (อย.) แล้ว อย่างไรก็ตาม สวทช. จะให้สำนักงบประมาณเข้าไปตรวจสอบหน่วยงานที่ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างสินค้านวัตกรรมว่ามีการดำเนินการตามที่ตกลงไว้หรือไม่ เพื่อให้โครงการและสินค้านวัตกรรมมีตลาดที่ขายได้จริง
นายเชิญพร เต็งอำนวย รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. จะพยายามผลักดันให้สินค้าที่มีในอุตสาหกรรมขณะนี้ขึ้นบัญชีนวัตกรรม ที่ สวทช. เป็นผู้ดูแลอยู่ และให้รัฐบาลกันเม็ดเงินส่วนหนึ่งจากงบประมาณของแต่ละหน่วยงานแบ่งออกมาซื้อสินค้านวัตกรรม ในรูปแบบของการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาหาร เป็นกลุ่มที่ต้องการผลักดันให้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมมากที่สุด
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีสินค้ากลุ่มยา เครื่องมือแพทย์ เครื่องจักรกลบางประเภท สามารถขึ้นบัญชีนวัตกรรมแล้ว จำนวน 16 รายการ และในจำนวนนี้ได้ทำสัญญาในการจัดซื้อจัดจ้างกับทางหน่วยงานรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สอดคล้องกับนโยบายรัฐที่ต้องการให้หน่วยงานต่างๆ สนับสนุนซื้อสินค้านวัตกรรมในสัดส่วน 10% แต่ไม่เกิน 30% ของงบประมาณ
"ปัญหาของเอกชนที่พบมาตลอดคือ ผลงานวิจัยที่ทาง สวทช. มีนั้น ไม่ตรงกับสินค้าที่ผู้ประกอบการผลิต จึงไม่สามารถนำงานวิจัยมาพัฒนาสินค้าให้เป็นนวัตกรรมได้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ก็มีปัญหาเรื่องเงินทุนการเสียค่าเงินวิจัย 3 หมื่นบาทต่อราย นับว่าสูง ซึ่งทาง ส.อ.ท. ได้พยายามช่วยเอสเอ็มอี โดยแนะนำให้เข้าร่วมโครงการเอสเอ็มอีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำเงินกู้ส่วนนี้มาใช้ลงทุนด้านงานวิจัย" นายเชิญพร กล่าว