สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ เผยการส่งงออกยังคงต้องเหนื่อยต่อไป เหตุศก.โลกยังไม่ฟื้น ฉุดกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าหลักๆ เช่น สหรัฐ ลดลงไปด้วย ซ้ำยังเจอปัญหาค่าเงินผันผวน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ลุ้นราคาน้ำมันขยับขึ้น ยอมรับหากส่งออกติดลบอีกปีจะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และคู่ค้าของไทย แนะเร่งเพิ่มมูลค่า ขยายตลาด กลุ่มประเทศ ซีแอลเอ็มวี ช่วยปั๊มตัวเลขพ้นแนวลบ
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกในปีนี้ ว่า จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของฝ่ายวิชาการ สรท. คาดการณ์ว่าในปีนี้การส่งออกของไทยจะอยู่ในระดับทรงตัว ถึง ลดลง 0.2% ใกล้เคียงกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ประเมินว่าจะเติบโต 0% และของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ ติดลบ 0.4% ถึงเพิ่มขึ้น 0.2% ทั้งนี้การส่งออกของไทยที่ยังขยายตัวได้ในระดับต่ำเนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอ โดยเฉพาะการบริโภคภายในตลาดสหรัฐที่ยังอยู่ในระดับต่ำความผันผวนของค่าเงิน และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาปัจจัยสำคัญ คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปีนี้ขยับตัวสูงขึ้นจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทยอย่างแน่นอน และคาดหวังว่าการส่งออกในปีนี้จะต้องเป็นบวก หากยังติดลบอยู่จะทำให้ภาคการส่งออกของไทยจะมีปัญหาในอนาคตได้
“ส่งออกติดลงมาติดต่อกันถึง 3 ปี และในปีที่ผ่านมาก็ส่งออกติดลบสูงถึง 5.8% หากในปีนี้ส่งออกติดลบไปอีก ก็จะส่งผลให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในไทย และขาดความมั่นใจในศักยภาพการแข่งขันของไทย รวมทั้งอาจทำให้ลูกค้าต่างชาติหันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่นที่ได้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสูงกว่า เช่น ประเทศในกลุ่มของตกลง ทีพีพี”
ทั้งนี้ หากต้องการผลักดันให้การส่งออกไทยไม่ติดลบและขยายตัวตามที่คาดไว้ 2% จะต้องผนึกความร่วมมืออย่างเต็มที่ระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมาตรการเร่งด้วยที่รัฐบาลต้องเร่งผลักดันมี 9 ข้อ ได้แก่
1.รัฐบาลต้องเป็นหัวหอกในการผลักดันการค้าสู่ตลาดเป้าหมาย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ด้วยการนำผู้ประกอบการไทยออกไปเจาะตลาดทั้งแบบจีทูจี เคาน์เตอร์เทรด และสร้างหุ้นส่วนการค้าและการลงทุน โดยออกไปเจาะตลาดอย่างน้อยเดือนละ 1ประเทศที่สำคัญ เช่น สหรัฐ อียู จีน อินเดีย ตะวันออกกลางแอฟริกา อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย เป็นต้นเพราะที่ผ่านมา เอกชนได้ทำเต็มที่แล้วหากภาครัฐเข้ามาเป็นหัวหอกนำขบวนภาคเอกชนไปก็จะประสบผลสำเร็จมากขึ้น
2.ประกาศจุดยืนทางการค้าและหุ้นส่วนทางการค้าในตลาดโลกอย่างชัดเจนในเวทีโลก เพื่อให้ประเทศคู่ค้ามั่นใจในการทำธุรกิจกับประเทศไทย รวมทั้งผลักดันให้เอกอัครราชทูต ทูตพาณิชย์ทุกประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันทำงานอย่างบูรณาการเพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจน
3.ดำเนินยุทธศาสตร์การค้าเชิงรุกโดยใช้การตลาดนำ และพัฒนาการส่งออกภาคบริการควบคู่กับสินค้าและการท่องเที่ยว เช่น สร้างศูนย์รวมการค้าอัจฉริยะ ในตลาดเป้าหมาย โดยเป็นทั้งศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ศูนย์ประสานงานการค้า และศูนย์ข้อมูลการค้าเชิงลึก และพัฒนาศูนย์บริการส่งออกแบบเบ็ดเสร็จ รวบรวมหน่วยงานออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทั้ง 37 หน่วยงาน ไว้ในที่เดียว
4.เร่งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้าศูนย์กลางการลงทุน ศูนย์กลางการท่องเที่ยว ศูนย์กลางโลจิสติกส์ และศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคโดยประกาศจุดยืนและแผนงานอย่างชัดเจน และกำหนดนโยบาลส่งเสริมอย่างบูรณาการ มีขั้นตอนกรอบเวลาที่ชัดเจน
5.เร่งปฏิรูปกฎระเบียบ การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การอำนวยความสะดวกทางการค้า ระบบโลจิสติกส์ และระบบ ดิจิทัลของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
6.ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ และสร้างหน่วยงานรับผิดชอบส่งเสริมการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ในระยะยาว เพิ่อมุ่งสู่การเป็นชาติการค้า ซึ่งอาจจะมีการตั้งกรมส่งเสริมการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อผลักดันในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้การค้าอี-คอมเมิร์ซเติบโตอย่างชัดเจน
7.ขับเคลื่อนการบริหารนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อนวัตกรรม ให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านสินค้า บริการ การบริหารจัดการ และรูปแบบธุรกิจการค้า
8.สร้างองค์กรภาคเอกชนให้เกิดเป็นเครือข่าย และคลัสเตอร์ที่มีความเข้มแข็งในระดับสากล และให้องค์กรภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในการวางแผน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการค้า ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค และ
9.บ่มเพาะนักการค้าอัจฉริยะทั้งในภาครัฐและเอกชน ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ การเงิน การบริหารกลยุทธ์ เทคโนโลยีตลาด ลูกค้า และสินค้า อย่างเฉพาะเจาะจง และส่งไปฝังตัวในตลาดเป้าหมาย
ด้านนายวัลลภ วิตนากร รองประธาน สรท. กล่าวว่าการที่จะผลักดันเป้าการส่งออกให้ขยายตัวในระดับ 4-5% ตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ จะต้องเร่งขับเคลื่อนตลาด ซีแอลเอ็มวี ให้เหมือนกับเป็นตลาดของไทย โดยขยับแนวส่งออกจากตะเข็บชายแดนไปสู่หัวเมืองที่สำคัญ เช่น สปป.ลาว ส่งสินค้าเข้าไปเจาะตลาดเมืองเวียงจันทน์ หลวงพระบางและจำปาสัก เจาะตลาดเมืองย่างกุ้ง และมัณฑเลย์ กัมพูชาเจาะเมืองพนมเปญ เวียดนามเข้าไปเจาะเมืองดานัง ฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้ เป็นต้น โดยกระทรวงพาณิชย์จะต้องเข้าไปตั้งสำนักงานส่งเสริมการค้าเพิ่มในเมืองหลักๆ ที่สำคัญเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดส่งออกให้มากกว่าการค้าตามแนวชายแดนเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่ต้องจับตามอง ได้แก่ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และชิ้นส่วน เนื่องจากมีผลต่อตัวเลขการส่งออกสูงมาก คิดเป็นสัดส่วน 37% ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งจะต้องผลักดันให้กลุ่มนี้มียอดส่งออกขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4% จึงจะทำให้ยอดส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์วางไว้
สำหรับเป้าหมายของกลุ่มสินค้าส่งออกหลักๆในปีนี้ ในสินค้าข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง คาดว่าจะโต 0% อาหาร 4% น้ำตาล 3% เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ โต 4% เม็ดพลาสติกส์ โต 5% อัญมณี 10% น้ำมันสำเร็จรูป 5% วัสดุก่อสร้าง 7% ผลิตภัณฑ์ยาง โต 0% เครื่องจักรกลและส่วนประเทศ โต 3% สิ่งทอ โต 2% เคมีภัณฑ์ โต 3% สินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ โต 3% ซึ่งหากทำให้ตามนี้จะทำให้การส่งออกในปี 2559 โตในระดับ 4%
นอกจากนี้ หากรัฐบาลปรับปรุงระบบด้านศุลกากรตามแนวพื้นที่ชายแดน นำสินค้าที่ลักลอบส่งออกขึ้นมาอยู่บนดินได้ ก็จะทำให้การค้าชายแดนโตไม่ต่ำกว่า 6% สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศรวมกว่า1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งส่งเสริมให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ออกไปตั้งสำนักงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มซีแอลเอ็มวี และบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพการส่งออกได้มากขึ้น