สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.)
ผู้ประกอบการ

ดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 เข้า ครม.
27/01/2016
ข่าวเศรษฐกิจ


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนาเอฟ.ไอ.ที เอาท์ลุค 2016 ทิศทางอุตสาหกรรมไทยในปี 2559 ว่า ในการประชุมครม.วันที่ 26 ม.ค.นี้ จะเสนอให้ครม.พิจารณาโครงการพัฒนาความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ โดยมีเงินให้หมู่บ้านทั่วประเทศไปใช้ในโครงการที่ชุมชนต้องการ ทั้งยุ้งฉาง โรงบ่ม โรงสีชุมชน เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อทำสินค้าเกษตรแปรรูป หรือเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน โดยผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เป็นการจัดทำโครงการเกษตรไปถึงฐานรากอย่างแท้จริง จะเป็นเงินให้เปล่าหมู่บ้านและชุมชนเมืองไม่เกินแห่งละ 5 แสนบาท ขณะนี้มีมากกว่า 1 หมื่นหมู่บ้านที่นำเสนอมาแล้ว คิดเป็นเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันจะให้ภาคเอกชนเข้ามาต่อยอดในโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และเมื่อรวมกับโครงการตำบลละ 5 ล้านบาท จะยิ่งเป็นโครงการที่ดีที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับภายในประเทศ“

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลกได้รับคำนิยามทั้งในภาวะที่ไร้กำลังขับเคลื่อน ไร้ความแน่นอน ดังนั้นทั้งรัฐและเอกกชนต้องร่วมกันที่จะเผชิญสิ่งเหล่านี้ด้วยความไม่กลัว ต้องรอบคอบและมีสติ คิดในเชิงบวก เพื่อแปลงวิกฤติให้เป็นโอกาสให้ได้ ซึ่งรัฐบาลได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อประคองเศรษฐกิจในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 ให้ดีขึ้น และจะทำให้ช่วง 1 ปี 6 เดือนจากนี้ให้ดีที่สุด เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ“

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ปี 2559 ว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยมีสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการคือการแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยและเกิดการบูรณาการ ไม่ใช่ทุกคนอยากแต่จะให้ใช้แต่มาตรา44 สิ่งที่ทำในวันนี้คือความพยายามให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด โดยรัฐบาลต้องสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน ขณะที่แนวทางการพัฒนาประเทศไทยจะต้องเดินตามยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศในระยะ 20 ปี ที่ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและต้องมีแผนปฏิบัติ และในทุก 5 ปีก็จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นแผน 5 ปี ปัจจุบันเป็น ฉบับที่ 11 และจะเริ่มฉบับที่ 12 ในปี 60- 64“

“การขับเคลื่อนประเทศต้องมีการบูรณาการยุทธศาสตร์กันอย่างชัดเจน ซึ่งตนเองจะแก้ไขการบริหารราชการแผ่นดินใหม่ โดยการปรับปรุง พ.ร.บ.การจัดทำงบประมาณ เพื่อการปรับการจัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยต่อไปการจัดทำงบจะต้องให้รัฐบาลประชุมร่วมกันก่อนเพื่อจัดทำดับความสำคัญของเรื่องต้องดำเนินการ ว่าต้องไปตามนโยบายไหน ต้องหารือถึงนโยบายที่ต้องการขับเคลื่อน นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ตอนนี้มีคนว่าผมสืบทอดอำนาจให้ใคร ผมบอกเลยให้ประชาขน ให้ภาคเอกชน เรื่องรอเงินใต้โต๊ะไม่ต้องไปเสียให้ใคร หากวันนี้มีใครเรียกเงินใต้โต๊ะมาบอกผม ผมเห็นแต่บอกกันว่ามีๆ แต่ไม่มาบอกผม ให้มาบอกผมจะไม่ปล่อยให้มีการทำทุจริตเด็ดขาด”“

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไม่ต้องการให้รัฐบาลกลัวคำว่า ประชานิยมมากนัก โดยเฉพาะมาตรการใดที่ว่าดี ก็ควรนำมาใช้ทันที โดยเฉพาะที่สามารถช่วยเหลือประชาชนรากฐานของประเทศได้โดยตรง เนื่องจากขณะนี้ปัญหาที่น่าห่วงคือ จะทำอย่างไรให้เงินถึงมือรากฐานของประเทศโดยเร็วที่สุด เพราะที่ผ่านมาแม้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แต่ต้องการให้ตรวจสอบด้วยว่า เงินถึงมือประชาชนจริงหรือไม่ เพื่อให้เศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง“

นอกจากนี้ต้องการให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ดำเนินโครงการที่ช่วยเหลือสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการต่างๆ ที่ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ขณะเดียวกันต้องการให้รัฐบาลมีหลักประกันว่า หากภาคเอกชน ต้องการจ่ายภาษีนิติบุคคล ซึ่งขณะนี้ภาครัฐจัดเก็บที่ 20% หากเอกชนรายได้ต้องการจ่ายเพิ่ม เช่น 22% อีก 2% อยากให้ภาครัฐ นำไปช่วยเหลือสังคม หรือนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างแท้จริง“

นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานที่ปรึกษาฝ่ายจัดการ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคเอกชนยอมรับมีความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีนที่หลายฝ่ายคาดการณ์ปีนี้จะชะลอตัวลงอยู่ที่กว่า 6% จากก่อนหน้านี้เติบโตกว่า 7% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่มีการส่งออกสินค้าไปจีนโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่อาจลดลงตามกำลังซื้อในจีนที่หายไป ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ซึ่งยังคงต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน“

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผ็บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยากให้ประเทศไทย ใช้โอกาสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) พิจารณาว่า จะช่วยเหลือประเทศในกลุ่มได้อย่างไร อย่างมองว่า ประเทศดังกล่าว เป็นคู่แข่งเท่านั้น รวมทั้งประเทศจีน แม้ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว แต่ประเทศจีน ก็ยังถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเข้าไปเจาะตลาด ขณะนี้ต้องเข้าไปพิจารณาว่า จะใช้ประโยชน์อย่างไร ไม่ควรทิ้งโอกาสนี้ รวมทั้งประเทศอินเดียด้วย ที่ประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง“
ที่มาของข่าว: เดลินิวส์

ข่าวอื่นๆ

+ แผนผังเว็บไซต์ แผนผังเว็บไซต์

ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย


อาคารสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ชั้น 1-2
ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง
เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110 (แผนที่)
โทรศัพท์ 02-7136290-2, 02-713-6547-50, 02-7124402-7 ต่อ 211-213


ภายใต้งบประมาณการสนับสนุน
จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
Copyright © 2015 Iron and Steel Institute of Thailand.