นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2559 ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้การปฏิบัติงานของ สสว.เป็นไปด้วยความคล่องตัว โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการบริหาร
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนของ สสว. จำนวน 1,977.645 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 เพื่อบูรณาการงานส่งเสริมเอสเอ็มอีของประเทศให้เติบโตได้ตามศักยภาพ โดยจัดสรรเงินกองทุนออกเป็น 6 ส่วน ประกอบด้วย การจัดสรรเงินกองทุน 437.17 ล้านบาท ให้กับ 3 กระทรวง ดำเนินงาน 9 โครงการ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม งบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการยกระดับผลิตภัณฑ์เอสเอ็มอีสู่ตลาดโลก โครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุน และโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
ด้านกระทรวงพาณิชย์ได้งบประมาณ 187.17 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการสร้างนักการค้ามืออาชีพ โครงการกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ : สร้างโอกาสเอสเอ็มอีไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโครงการแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดโลก ขณะที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับงบประมาณ 150 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ระยะต่อเนื่อง โครงการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ และโครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
จัดสรรเงินกองทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งกองทุนพลิกฟื้นเอสเอ็มอี โดยให้ สสว. ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอี และธุรกิจการเกษตรที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่ง สสว.จะคัดเลือกจากลูกค้าธนาคารของรัฐ ซึ่งมีปัญหาในการจ่ายชำระหนี้ แต่มีความบริสุทธิ์ใจ และมีเจตนาที่จะทำกิจการต่อไป หรือ เอสเอ็มอีที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งส่งงบการเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอ และมียอดขายลดลงค่อนข้างมากอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 3 ปี โดยวินิจฉัยเชิงลึกเป็นรายกิจการเพื่อหาประเด็นที่จำเป็นต้องปรับปรุง ทั้งการผลิต และการจำหน่าย และหากเอสเอ็มอีรายใดมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจต่อไป และยังมีศักยภาพเพียงพอ สสว.จะประสานงานกับเจ้าหนี้เดิม เพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในกรณีที่เอสเอ็มอี ปรับโครงสร้างหนี้แล้วจำเป็นต้องได้รับสภาพคล่องเพิ่ม สสว.จะพิจารณาให้กู้ยืมจากกองทุนพลิกฟื้นของ สสว.เป็นเงินกู้ระยะยาวและไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
จัดสรรเงินกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ โดยบูรณาการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง ซึ่งมีศูนย์บ่มเพาะ 35 ศูนย์กระจายอยู่ทั่วประเทศในทุกสาขาอาชีพ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการใหม่ และนักธุรกิจที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์เอสเอ็มอี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รับเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการใหม่ ตั้งเป้าหมายสร้างผู้ประกอบการใหม่ 30,000-40,000 ราย
จัดสรรเงินกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการส่งเสริมเอสเอ็มอีที่ทำกิจการอยู่แล้วให้เติบโตได้ยิ่งขึ้น โดย สสว.จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และจะให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าวินิจฉัยในเชิงลึกเป็นรายกิจการและหาทางช่วยปรับปรุงการผลิต การให้บริการ และการจำหน่าย เอสเอ็มอีแบงก์จะให้การสนับสนุนด้านการเงินในกรณีที่เอสเอ็มอี ต้องการปรับปรุงหรือขยายกิจการ โดยมีเป้าหมาย 10,000 รายภายในปี 2559 จัดสรรเงินกองทุน 40.475 ล้านบาท ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ให้บริการครบวงจร เพิ่มอีก 20 แห่ง รวมเป็น 31 แห่ง เพื่อทำหน้าที่เป็นเสมือนสาขาของ สสว.
จัดสรรเงินกองทุน 100 ล้านบาท ดำเนินโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน จัดตั้งร้านค้าประชารัฐ จำนวน 148 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตสินค้า OTOP และวิสาหกิจชุมชนให้มีที่ขายสินค้าถาวร รวมทั้งปรับมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาด ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนการสร้างร้านค้าประชารัฐ 148 แห่ง ซึ่งบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สนับสนุนพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. โดยไม่คิดค่าเช่า กรมการพัฒนาชุมชน และ สสว.ร่วมกันคัดสรรสินค้าจาก OTOP และวิสาหกิจชุมชน โดยปรับมาตรฐานและรับรองคุณภาพสินค้า รวมทั้งช่วยดูแลการบริหารจัดการของร้านค้าประชารัฐ เอสเอ็มอีแบงก์ช่วยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ชุมชนที่ส่งสินค้ามาขาย ตั้งเป้าหมายให้ชุมชนสามารถบริหารร้านค้าประชารัฐได้ด้วยตนเองภายในเวลา 3 ปี และสามารถยกระดับวิสาหกิจชุมชนขึ้นเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จภายในไตรมาสแรกปี 2559 ซึ่งเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีมอบในที่ประชุม
ทาง สสว.คาดการณ์จีดีพีเอสเอ็มอีปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 3.7-4.8 และปี 2559 คาดว่าโตประมาณร้อยละ 5 พร้อมตั้งเป้าสัดส่วนเอสเอ็มอีต่อจีดีพีอีก 5 ปีข้างหน้าในปี 2563 อยู่ที่ระดับร้อยละ 45 ต่อจีดีพี