สอท.ร่วมกับ นิด้า ทำผลสำรวจผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจ พบส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ มี 38% คาดว่าจะดีขึ้น ภาคเอกชนยังกังวลเรื่องกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก รองลงมาคือเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะประเด็นของจีน ที่จะกระทบต่อตลาดโลก ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
นายกำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า กล่าวว่า “นิด้าโพลล์” ร่วมกับสอท. สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการ หรือ ซีอีโอเซอร์เวย์ ในภาคอุตสาหกรรมเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2559 ในมุมมองของผู้บริหาร พบว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ 43.94% ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยโดยรวมในปี 2559 เทียบกับปี 2558 จะทรงตัว รองลงมา 37.88% ระบุว่า ดีขึ้น และ 18.18% ระบุว่าแย่ลงด้านการคาดการณ์ของผู้บริหารระดับสูงต่อทิศทางแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมปี 2559 พบว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ 53.03% ระบุว่า ทิศทางแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมปี 2559 จะทรงตัว รองลงมา 27.27% ระบุว่า ดีขึ้น และ 19.70% ระบุว่า แย่ลง
ทั้งนี้เมื่อถามถึงความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงต่อปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีความกังวลในการดำเนินกิจการในช่วงปี 2559 พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ 57.58% ระบุว่าเป็นกำลังซื้อภายในประเทศ รองลงมา 51.52% ระบุว่าเป็นการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน และ 48.48% ระบุว่าเป็นหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และ 46.97% ระบุว่าเป็นสถานการณ์ภัยแล้ง
ด้านความต้องการของผู้บริหารระดับสูงต่อภาครัฐในการเร่งดำเนินการด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2559 พบว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ 71.21% ระบุว่า ควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องจากมาตรการระยะสั้น รองลงมา 59.09% ระบุว่าเป็นการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และ 51.52% ระบุว่าเป็นการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ 46.97% ระบุว่าเป็นการเจรจาการค้าเสรีที่เป็นประโยชน์และเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก และ 42.42% ระบุว่าเป็นการพัฒนาการค้าและการขนส่งชายแดนและผ่านแดนเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าตามแนวชายแดน และ 36.36% ระบุว่าเป็นการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนพฤศจิกายน 2558 ว่า อยู่ที่ระดับ 85.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 84.7 ในเดือนตุลาคม ทั้งนี้ ค่าดัชนีฯที่เพิ่มขึ้นเกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวมยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิตและผลประกอบการทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีฯ ในเดือนพฤศจิกายน เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันและอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน ผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าการบริโภคภายในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรกล และกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและยาขณะเดียวกันราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับลดลงต่อเนื่องส่งผลดีต่อต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการ ความเชื่อมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการมีการลงทุนในการปรับปรุงเครื่องจักรและเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินกิจการ
ทั้งนี้ผู้ประกอบการส่งออกยังคงมีความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า รวมทั้งปัญหาภัยแล้งซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาคเกษตร โดยผู้ประกอบการเห็นว่า ยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคจะส่งผลดีต่อการขยายการค้าการลงทุนภายใต้ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าค่าดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 104.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 103.4 ในเดือนตุลาคม ซึ่งการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากองค์ประกอบ ยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
นายสุพันธ์กล่าวว่า เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2558 พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ส่วนปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์การเมืองในประเทศ ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ทั้งนี้ผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอต่อภาครัฐในเดือนพฤศจิกายน คือ เร่งการเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการขนาดเล็ก ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนด้านการขนส่งสินค้า ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมและรองรับการเติบโตของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน