
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคลัสเตอร์เกษตรแปรรูป เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อมาตรการที่จะเสนอต่อที่ประชุมนโยบายพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานนั้น ที่ประชุมคณะอนุกรรมการได้หารือถึงมาตรการสนับสนุนที่จำเป็นต่อการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เบื้องต้นคือมาตรการสนับสนุนด้านเงินทุน และกำหนดกรอบการปล่อยสินเชื่อในระยะเร่งด่วน 6 เดือน โดยจะมีการประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการยางแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เช่น สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อปรับปรุงสายการผลิต หรือซื้อเครื่องจักรผลิตอาหารเชิงสุขภาพ สนับสนุนเงินทุนวิจัยที่เป็นที่ต้องการของตลาดและการผลิตจริงเชิงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้จะมีการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบการขออนุญาตอาหารเพื่อสุขภาพใหม่ๆ แก้ไขข้อกำหนดการแสดงฉลากอาหาร ปรับปรุงรายการสินค้าควบคุมภายใต้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อให้สินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด และส่งเสริมการจัดกิจกรรมงานนิทรรศการด้านอาหารระดับโลก เพื่อสร้างการรับรู้ศักยภาพอุตสาหกรรมอาหารไทย เป็นต้น
สำหรับมาตรการสนับสนุนที่จำเป็นนอกจากเงินทุน ยังมีมาตรการด้านการพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยี โดยจะสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการปรับเนื้อสัมผัสอาหารให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ อย่างน้อย 5 ราย สร้างนักพัฒนาเทคนิคการนำอาหารทางเลือกหรือฟังก์ชั่นนอลฟู้ดสู่กระบวนการผลิตคุณภาพสูง อย่างน้อย 20 คน สร้างทีมให้คำแนะนำเฉพาะทางอย่างน้อย 10 คน และพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพของผู้สูงอายุอย่างน้อย 5 บรรจุภัณฑ์ ส่งเสริมการเชื่อมโยงหน่วยงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีทั้งในและต่างประเทศ อย่างน้อย 5 หน่วยงาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กิจการเป้าหมายในคลัสเตอร์ที่จะได้รับการส่งเสริม คือ การปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ โดยกลุ่มนักลงทุนเป้าหมายที่จะชักจูงมาลงทุน ได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และไทย กิจการสารสกัดและผลิตภัณฑ์จากสารสกัด อาหารทางการแพทย์ และสมุนไพร กลุ่มนักลงทุนเป้าหมายที่จะชักจูงมาลงทุน คือ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา กลุ่มอาหารทางเลือก อาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารสำหรับผู้สูงอายุ กลุ่มนักลงทุนเป้าหมายที่จะชักจูงมาลงทุน คือ ญี่ปุ่น ยุโรป และไทย และกลุ่มผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กลุ่มนักลงทุนเป้าหมายที่จะชักจูงมาลงทุน คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ เยอรมนี ญี่ปุ่น จีน และไทย
“คณะอนุกรรมการฯ ได้หารือถึงมาตรการสนับสนุนด้านอื่นๆเพิ่มเติม เช่น การส่งเสริมผู้ประกอบการให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการบริหารเครือข่ายการผลิตสู่ต่างประเทศ การบูรณาการกับการประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยว ภาคบริการ เช่น การพัฒนาครัวไทยสู่ครัวโลก ส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาล เครื่องเทศ เป็นต้น โดยผลสรุปครั้งนี้จะนำเสนอที่ประชุมคลัสเตอร์ชุดใหญ่ในวันที่ 17 ธันวาคมนี้” นายอาทิตย์กล่าว