การประชุมผู้นำอาเซียน หรือ อาเซียนซัมมิต ครั้งที่ 27 และการประชุมระหว่างผู้นำอาเซียนกับผู้นำประเทศคู่เจรจาอีก 8 ประเทศ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งปิดฉากลงไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้ มีประเด็นสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคหลายเรื่องด้วยกัน
โดยในส่วนของอาเซียนเอง การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมระดับผู้นำครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการเปิดตัวประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ผู้นำ 10 ชาติอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการจัดตั้งประชาคมอาเซียน ค.ศ.2015 และปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน ค.ศ. 2025 : มุ่งหน้าไปด้วยกัน อันเป็นการรับรองวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 (พ.ศ. 2568) และแผนงานของอาเซียนในอีก 10 ปีข้างหน้า เอกสารสำคัญทั้ง 2ฉบับนี้ เมื่อผู้นำลงนามแล้วก็ได้มีการส่งมอบให้แก่ นายเล เลือง มินห์ เลขาธิการอาเซียน นอกจากนี้ ยังมีการส่งมอบตำแหน่งประธานอาเซียน วาระหมุนเวียนให้แก่สปป.ลาว ซึ่งจะทำหน้าที่ประธานอาเซียนในปี 2559
ในส่วนของการประชุมผู้นำอาเซียนกับผู้นำประเทศคู่เจรจาทั้ง 8 ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์นั้น เป็นการประชุมทั้งในลักษณะอาเซียน+1 และเป็นกลุ่มพหุภาคี ซึ่งได้แก่การประชุมระดับผู้นำแห่งเอเชียตะวันออก หรือ East Asia Summit (EAS) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 ประกอบด้วยอาเซียน 10 ประเทศ+8 ประเทศนอกกลุ่ม รวมทั้งเลขาธิการอาเซียนและเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ มีการหารือร่วมกำหนดทิศทางและบทบาทของการประชุม EAS ที่มีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่เป็นข้อห่วงกังวลร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย
สำหรับผู้นำ 8 ประเทศคู่เจรจาของอาเซียนที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ประกอบด้วย นายดมิที เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นางปาร์ค กึน-เฮ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายนเรนทร โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย นายมัลคอม เทิร์นบุล นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย และนายจอห์น คีย์ นายกรัฐมนตรี นิวซีแลนด์
ประเด็นทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ คือการเสนอเพิ่มความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคมากขึ้นจากผู้นำจีนและญี่ปุ่น โดยนายกรัฐมนตรีจีนได้ประกาศจะเพิ่มวงเงินกู้อีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชีย และจะให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่บางประเทศที่ยังมีการพัฒนาน้อย ขณะที่ผู้นำญี่ปุ่นประกาศจะให้ความช่วยเหลือในรูปเงินกู้ผ่านทางธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี อีก 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะร่นระยะเวลาในการพิจารณาปล่อยเงินกู้แก่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียให้เร็วขึ้น พร้อมทั้งลดทอนกระบวนการที่ยุ่งยาก ด้านนายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวเชิญชวนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เอเชีย-แปซิฟิก หรือ ทีพีพี ซึ่งปัจจุบันมีญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และบางประเทศของอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และสิงคโปร์ เข้าร่วมภาคีแล้ว ขณะที่จีน ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมทีพีพี แสดงจุดยืนว่าต้องการสนับสนุนกลุ่มหุ้นส่วนเศรษฐกิจแห่งภูมิภาคเอเชีย หรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่มีอยู่แล้วมากกว่า แต่กระนั้นก็ตาม RCEP ยังไม่มีความคืบหน้ามากนักและมาเลเซียในฐานะประธานการประชุมปีนี้ ระบุว่า ยังไม่น่าจะมีการสรุปผลใดๆเกี่ยวกับ RCEP จนกว่าจะถึงปีหน้า