นายอมิตาป ข่าน ปลัดฝ่ายนโยบายและส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPP) กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย เปิดเผยภายในงานสัมมนา Make in India ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558โดยความร่วมมือระหว่างสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เเละสภาอุตสาหกรรมเเห่งประเทศไทย ว่า การมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ก็เพื่อนำคณะนักธุรกิจของอินเดียมาพบปะแลกเปลี่ยนลู่ทางการค้าการลงทุนกับนักธุรกิจฝ่ายไทยผ่านทางการสัมมนาและการจับคู่ธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็เป็นการเชิญชวนนักลงทุนฝ่ายไทยให้ไปดูลู่ทางการลงทุนในอินเดียด้วย เนื่องจากอินเดียกำลังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก ภายใต้ชื่อนโยบาย Make in India ซึ่งให้สิทธิประโยชน์และเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในอินเดียอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในหลากหลายแขนงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ในแง่ของการส่งเสริมการค้า-การลงทุนระหว่างกัน นายอมิตาป กล่าวว่า ไทยเป็นศูนย์กลางหรือเป็นเสมือนประตูสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) สำหรับอินเดีย ปัจจุบัน ไทยและอินเดียมีมูลค่าการค้าทวิภาคีคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลการค้าปี 2557) และยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมากเนื่องจากอาเซียนกำลังจะกลายเป็นตลาดเดียวอย่างสมบูรณ์ในปีหน้าในนามของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อีกทั้งไทยและอินเดียยังมีข้อตกลงการค้าเสรี (TIFTA) ระหว่างกัน ทำให้โอกาสเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็นไปได้อีกมาก
“ผมอยากให้มองโอกาสในภาพกว้าง ซึ่งไม่ใช่จะมีเพียงด้านการค้าหรือการลงทุนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงภาคบริการ เช่น โรงแรมและการท่องเที่ยว ในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจากอินเดียมาเยือนไทยมากกว่า 1 ล้านคน และไทยก็เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวอินเดียนิยมเป็นอันดับต้นๆ คนอินเดียนิยมมาจัดงานแต่งงานที่ประเทศไทยกันมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสที่เราไม่ควรมองข้าม” นายอมิตาปกล่าวต่อไปว่า อินเดียเองเป็นตลาดใหญ่ขนาดมหาศาลที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 7.5 % ในปีที่ผ่านมา และรัฐบาลก็ยังมีเป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวในระดับ 9-10 % ซึ่งถือเป็นความท้าทาย แต่ก็มีนโยบายที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายดังกล่าว เช่น นโยบาย Make in India ซึ่งมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และสร้างงานให้ประชาชน
” FDI ในอินเดียเติบโตในอัตรา 48 % เราเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของนานาประเทศ และยังได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากที่สุดจากหลายสถาบัน เช่น การจัดอันดับของฟอร์บส์” ปลัดฝ่ายนโยบายและส่งเสริมอุตสาหกรรมของอินเดียกล่าว พร้อมทั้งยกตัวอย่างโครงการพัฒนาชุมชนเมืองไฮเทคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Smart Cities ซึ่งมีจำนวนนับร้อยเมืองทั่วประเทศ และโครงการเมกะโปรเจ็คท์อย่างเช่นการสร้างระเบียงเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่างเมืองเดลีและมุมไบ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่รายทางและสร้างงานจำนวนมาก โครงการเหล่านี้ เปิดกว้างให้บริษัทต่างชาติเข้าร่วมลงทุน
ซึ่งหากบริษัทเอกชนต่างชาติสนใจเข้าลงทุนหรือประมูลโครงการต่างๆในอินเดียก็สามารถติดต่อหน่วยงานของเขาได้ ซึ่งนายอมิตาปกล่าวว่า การทำงานของหน่วยงานภาครัฐของอินเดียได้มีการปฏิรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนภายใต้แนวคิดเปลี่ยน Red Tape (ความล่าช้าของกระบวนการขออนุมัติโครงการ) ให้กลายเป็น Red Carpet (พรมแดงปูความสะดวกราบรื่น) ให้กับนักลงทุนต่างชาติ
ในส่วนของความร่วมมือระดับรัฐบาลกับไทยนั้น นายอมิตาปกล่าวว่า อินเดียเองให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคอาเซียนโดยปัจจุบันมีความร่วมมือสามฝ่าย คือ อินเดีย ไทย และเมียนมา ศึกษาการพัฒนาเส้นทางไฮเวย์เชื่อมโยงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียเข้ากับอาเซียนโดยผ่านทางเมียนมา นอกจากนี้ อินเดียยังมีความสนใจโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งจะเป็นฐานอุตสาหกรรมการผลิตและเป็นท่าเรือส่งออกที่สามารถเชื่อมโยงกับฐานการผลิตรวมทั้งท่าเรือเชนไนในอินเดีย การมาเยือนครั้งนี้ ทางคณะซึ่งประกอบด้วยผู้แทนบริษัทอินเดียเกือบ 30 บริษัทยังได้มีโอกาสเจรจาจับคู่ธุรกิจกับฝ่ายไทยและเดินทางเยี่ยมชมท่าเรือแหลมฉบังอีกด้วย