การชะลอการลงทุนของภาคธุรกิจในญี่ปุ่น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศหดตัวลงมากกว่าความคาดหมายในไตรมาสที่ผ่านมา และแสดงถึงความท้าทายของนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ “อาเบะโนมิกส์” ของนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ
นับตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน นายชินโซะ อาเบะ พยายามกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยนโยบายที่ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง ช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับภาคธุรกิจสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยความหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะเพิ่มการลงทุนและเพิ่มค่าแรงให้กับพนักงาน อย่างไรก็ดี ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการลงทุนของภาคธุรกิจอ่อนแอจนฉุดให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งที่ 2 ในยุคของนายอาเบะ
“การใช้จ่ายของบริษัทที่ลดลงนับเป็นข่าวร้ายสำหรับนายอาเบะ แสดงให้เห็นว่าไม่ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนอย่างไร บริษัทญี่ปุ่นยังคงลังเลที่จะลงทุน” นายทาคูจิ โอคุโบะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแจแปน แมโคร แอดไวเซอร์ส ให้ความเห็น
การใช้จ่ายของภาคธุรกิจในไตรมาส 3 ของปี 2558 ลดลง 1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 นับเป็นการลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาสเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2554 ที่บริษัทญี่ปุ่นชะลอการลงทุนหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกัน กำไรจากการดำเนินงานโดยเฉลี่ยของบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นสมาชิกของนิกเกอิ 225 ในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 7.7 พันล้านเยน
โตโยต้าเป็นบริษัทขนาดใหญ่เพียงรายเดียวที่เพิ่มการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ฮอนด้า มอเตอร์ ปรับลดการลงทุนลง 4.2% ในช่วง 6 เดือนจนถึงกันยายน เช่นเดียวกับมาสด้า มอเตอร์ ที่ลดการลงทุนลง 20% ในปีงบประมาณปัจจุบัน ส่วนนิสสัน มอเตอร์ ลดการใช้จ่าย 2.5% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาและกล่าวว่าไม่มีแผนเพิ่มการลงทุนในญี่ปุ่น
การลงทุนที่ลดลงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาสที่ผ่านมาหดตัวลงเหนือความคาดหมาย โดยตัวเลขเบื้องต้นจากรัฐบาลญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หดตัวลง 0.8% เมื่อคิดเป็นอัตราตลอดทั้งปี ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของสื่อต่างๆ คาดหมายการหดตัวไว้เพียง 0.2-0.3% ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคหลังจากหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่เศรษฐกิจหดตัว 0.7%
แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสทำให้บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นไม่มั่นใจที่จะลงทุน โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งส่งผลต่อความต้องการสินค้าบางประเภท อาทิ อุปกรณ์การผลิต เครื่องจักรก่อสร้าง และสินค้าทุนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่มีบริษัทญี่ปุ่นเป็นซัพพลายเออร์
นายซาดายูกิ ซากากิบาระ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือไคดังเร็ง เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ “การหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาสเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ปัญหาใหญ่ที่สุดคือนโยบายสร้างการเติบโต เราต้องการมาตรการกระตุ้นบางอย่าง” นายซากากิบาระกล่าว ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่นรายงานว่า รัฐบาลนายอาเบะกำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ที่คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านล้านเยน
ด้านนายอากิระ อามาริ รัฐมนตรีเศรษฐกิจของญี่ปุ่น มองว่าเศรษฐกิจถดถอยเป็นการปรับตัวลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น “มีความอ่อนแอที่ชัดเจนในบางภาคส่วน แต่กำไรของบริษัทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และการจ้างงานและค่าแรงมีพัฒนาการที่ดีขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างช้าๆ กำลังดำเนินต่อไป ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตในไตรมาส 4” นายอามาริกล่าว
ความอ่อนแอระลอกล่าสุดของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ในการเพิ่มขนาดการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการซื้อสินทรัพย์ โดยบีโอเจยังคงตัดสินใจไม่กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่ามีนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนคาดหมายมาตรการเพิ่มเติมจากบีโอเจ
นายมาริ อิวาชิตะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก เอสเอ็มบีซี เฟรนด์ ซีเคียวริตีส์ มองว่า ตัวเลขจีดีพีติดลบจะไม่เป็นเหตุให้บีโอเจออกมาตรการเพิ่มเติม เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมา ด้านอัทสึชิ ทาเคดะ นักเศรษฐศาสตร์จากอิโตชุ คอร์ป มองว่าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเหมาะสมต่อการขยายการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเศรษฐกิจไม่เติบโต อย่างไรก็ดี เป็นการยากที่จะบอกว่าบีโอเจจะมีมาตรการใดๆ ออกมาหรือไม่