“วรภัค” ลั่นสินเชื่อปีนี้จบใกล้เคียง 2% ส่วนปี 2559 รอลุ้นโครงการภาครัฐดันความเชื่อมั่นฟื้น-การลงทุนขยับ วางกรอบสินเชื่อโตแค่ 3% เน้นเจาะเอสเอ็มอี-เกาะติดซัพพลายเชนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ยํ้าเอ็นพีแอลเริ่มสงบ หลังปีนี้พุ่งแตะจุดพีกไปแล้วจับตาเศรษฐกิจต่างประเทศยังเป็นความเสี่ยง

นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยว่าสินเชื่อปีนี้ คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียง 2% ตํ่ากว่าเป้าหมายเดิมที่คาดจะโตที่ 4-5%โดยเชื่อว่าความต้องการสินเชื่อยังมีอยู่ แต่ธนาคารทั้งระบบยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงธนาคารกรุงไทยที่เพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อโดยการเพิ่มตะแกรงความถี่ในการคัดกรองลูกค้าหลังจากมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในส่วนของรายย่อยเพิ่มมากขึ้น แต่เชื่อว่าหลังจากนี้เอ็นพีแอลเริ่มทรงตัวมากขึ้น เนื่องจากผ่านจุดตํ่าสุดมาแล้วในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยสิ้นปี 2557 เอ็นพีแอลอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท และในไตรมาสที่ 3เพิ่มเป็น 6.2 หมื่นล้านบาท หากรวมหนี้ของ SSI จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8หมื่นล้านบาท ส่วนจะมีการตั้งสำรองในไตรมาสที่ 4 หรือไม่ ยังต้องรอดูก่อน
สำหรับแผนปี 2559 แม้แนวโน้มประเทศไทยจะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นทั้งทางด้านการเมือง และการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ขณะที่แนวโน้มเอ็นพีแอลของระบบก็ไม่ได้พุ่งขึ้นสูงเหมือนในปีที่ผ่านมา แต่อัตราการเติบโตของธุรกิจก็อาจไม่ได้สวยหรูนัก โดยคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวที่ระดับ 1 เท่าของจีดีพีหรือประมาณ 3% เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่นิ่งมากนัก และปัจจัยต่างประเทศยังคงมีอยู่
ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอี จะเห็นว่าภาครัฐมีมาตรการออกมาช่วยเหลือต่อเนื่องทั้งด้านเงินทุนและความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ธนาคารที่จะมุ่งเน้นการเติบโตกลุ่มเอสเอ็มอี ในปีหน้าธนาคารตั้งเป้าเติบโตเอสเอ็มอีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งกลุ่มขนาดกลาง (Medium Business) ที่มีวงเงินการใช้สินเชื่อตั้งแต่ 21-100 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโต 30% กลุ่มขนาดเล็ก (Small Business)ที่มีวงเงิน 11-20 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโต 30% และกลุ่มขนาดย่อม (SSME)ที่มีวงเงินตั้งแต่ 1-10 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโต 30% ซึ่งจะเห็นว่าปีนี้ เอสเอ็มอีภาพรวมยังขยายตัวสูงถึง 25% แม้ว่ากลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กและย่อมจะมีปัญหาเรื่องเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น ทำให้ที่ผ่านมาไม่มีกำลังในการหาลูกค้าใหม่ แต่เชื่อว่าโดยรวมในปีหน้าจะกลับมาขยายตัวดีขึ้น
ส่วนสินเชื่อขนาดใหญ่ แนวโน้มจะเหน็ การลงทนุ ภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์) แต่การลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่ของภาคเอกชนยังคงไม่เห็นมากนัก แต่เชื่อว่าหากภาครัฐมีการทยอยการลงทุนจะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นตามมา โดยในส่วนของโครงการภาครัฐมองว่าหากธนาคารมีสภาพคล่องเหลือหรือสามารถออกตราสารหนี้ได้จะเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการภาครัฐบ้าง แต่อาจจะไม่มากนัก เนื่องจากผลตอบแทนในการปล่อยสินเชื่อไม่สูงมาก แต่ข้อดีความเสี่ยงตํ่า ซึ่งจะช่วยในเรื่องการปรับสมดุลพอร์ตสินเชื่อของธนาคารให้ดีขึ้น และธนาคารจะได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มซัพพลายเชนของการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มก่อสร้างวัสดุก่อสร้าง และขนส่ง เป็นต้น
ด้านนายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรายย่อยและเครือข่ายกล่าวว่า สายงานธุรกิจรายย่อยในปีหน้า จะให้ความสำคัญ1.บริการด้านธนบดี (wealth management)โดยจะเน้น 2 ด้าน คือ ด้าน RM (RiskManagement ) ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ตั้ง“Wealth Hub” ขึ้นประจำเขตทั่วประเทศ84 เขต เพื่อดูแลกลุ่มลูกค้าธนบดี โดยให้คำแนะนำด้านลงทุน 2. เพิ่มมูลค่าการให้บริการ (value position) โดยจะทำงานร่วมกับบัตรกรุงไทยมากขึ้นและอัพเกรดการบริการ ซึ่งในปีนี้ธนาคารมีการเติบโตในแง่ของ AUM (Asset Under Management)30% จากช่วงปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีอัตราเติบโตด้านรายได้ค่าธรรมเนียมมากกว่า 15% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่โต 6-7% ขณะที่ภาพรวมของสินเชื่อรายย่อยตั้งเป้าเติบโตปี 2559 ที่ 4-5% จากปีนี้ที่ 7-8%
ขณะที่นายอุดมศักดิ์ โรจน์วิบูลย์ชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานธุรกิจขนาดกลาง บมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าด้านธุรกิจเอสเอ็มอีที่ธนาคารจะเน้นคือ 1.รับเหมาก่อสร้าง,2.วัสดุก่อสร้าง, 3.โลจิสติกส์,4.อุตสาหกรรมอาหาร, 5. พลังงานทางเลือก, 6.ธุรกิจที่เกี่ยวกับโรงพยาบาลโดยในปี 2558 ยอดสินเชื่อเอสเอ็มอีคาดโต 20% จากพอร์ตปี 2557 และปี 2559 คาดสินเชื่อเพิ่มสุทธิ 3.5-4หมื่นล้านบาทหรือโต 25% ซึ่งจะทำให้พอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีสิ้นปี 2559 รวมที่ 5 แสนล้านบาท